ศิลปินหนุ่มมาดนุ่มชวนฝัน วิน-ชวนชัย มหาวงศ์ ที่นอกจากจะได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองด้วยการเป็นศิลปินเดี่ยวออก ซิงเกิ้ลแรก “จนวันหมดแรงเคลื่อนไหว (To Be Forever)” กับค่ายเยส!มิวสิก ในเครืออาร์เอส แล้ว ปัจจุบันหนุ่มคนนี้ยังมีโอกาสได้พิสูจน์ความฝันในอีกบทบาทหนึ่งกับการเป็น Marketing Officer ที่ได้บทเรียนเป็นความต่างสุดขั้วในแบบที่สามารถบาลานซ์กันได้อย่างลงตัว
ประวัติ วิน-ชวนชัย ศิลปินหนุ่มนักการตลาดมือใหม่
เตรียมอุดม เตรียมสังคมให้หนุ่มนักเศรษฐศาสตร์
จบเศรษฐศาสตร์ จากม.เกษตรศาสตร์ ครับ ด้วยความที่ชอบวิชาคำนวณ เลยเลือกมาเรียนเศรษฐศาสตร์ ซึ่งก็รู้สึกว่าเรียนได้ดีเลย ปีหนึ่งที่เข้ามานอกจากจะได้ทำกิจกรรมต่างๆ แล้ว การปรับตัวจากตอนมัธยมก็สำคัญ โชคดีที่ตอนเรียนที่เตรียมอุดม สังคมค่อนข้างเหมือนกับมหา’ลัย คือมาจากหลายท้องที่มากๆ แล้วก็มาจากต่างจังหวัดซะเยอะ ก็เลยได้มีการปรับตัวมาแล้วระดับหนึ่ง แต่ตอนมัธยม เพื่อนจะค่อนข้างเก่งกันมาก ก็จะเรียนหนักกว่านี้ พอมาเรียนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีกิจกรรมมากขึ้น ชิลล์มากขึ้น ซึ่งทำให้เราโตมากขึ้นด้วย ได้เรียนรู้ที่จะจัดการกับตัวเอง เพราะอาจารย์จะไม่คอยจ้ำจี้จำไชเราแล้ว บางวิชาไม่เช็คชื่อ คุณจะไม่เข้าเรียนก็ได้ แต่เมื่อถึงเวลาสอบคุณต้องสอบให้ได้ดี
สัมผัสสองรสชาติ เกรดที่ดีและไม่ดี ในช่วงเรียนม.เกษตรฯ
ตอนเรียนมหา’ลัยได้รู้หลายรสชาติ คือ มีทั้งเกรดที่ดีและไม่ดี เกรดตกมากสุดตอนปี 2 ที่ได้เกรด 2.1 แอบเกเร ไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือเท่าที่ควร สุดท้ายพอเกรดมันออกมาก็รู้เลยว่าไม่ได้แล้ว ไม่เคยได้เกรดต่ำแบบนี้ เลยต้องหันกลับมาโฟกัสกับการเรียนใหม่ ขอร้องให้เพื่อนติวให้ เวลาว่างเข้าห้องสมุด จนเกรดขึ้นมาถึง 3.86 ในปี 3 เลย ต้องขอบคุณเพื่อนมากๆ เพื่อนมีส่วนช่วยผมมากทีเดียว แต่ก็มาพลาดเกียรตินิยมตอนใกล้จบอีกที ช่วงนั้นเริ่มเข้าวงการ เป็นศิลปินบอยแบนด์ (VAMP) ก็ต้องมีซ้อมหนัก เช้าไปเรียนอีก แม้ว่าจะพยายามแบ่งเวลาแล้ว แต่ว่าก็จบมาได้เกรด 3.23 พลาดไปแค่ 0.02 ที่จะได้เกียรตินิยมอันดับสอง เสียดายนะ แต่ก็รู้สึกภูมิใจและดีใจมากแล้ว ที่เราได้ผ่านมาถึงจุดนี้
จากศิลปินสู่พนักงานออฟฟิศติดดิน
หลังจบมา 2 ปี ผมเห็นเพื่อนๆ มีประสบการณ์ทำงานออฟฟิศกัน ก็เลยอยากให้ตัวเองได้มีโอกาสแบบนั้นบ้าง ตอนนี้ได้ไปทำงานด้านมาร์เก็ตติ้ง ทำมา 7 เดือนได้แล้ว มีหน้าที่เกี่ยวกับดูสินค้า ตั้งแต่การดีไซน์ จนกระทั่งถึงตอนกระจายสินค้าไปตามร้านค้าต่างๆ แล้วก็หาช่องทางการขายใหม่ๆ ด้วย ทำตอนแรกงงๆ กับตัวเอง ว่ามันใช่สิ่งที่เราอยากจะทำหรือเปล่า ต้องปรับตัวเรื่องการแต่งกาย แล้วก็สังคมในออฟฟิศด้วย แต่พอทำๆ ไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าการทำตรงนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ในอีกบทบาทหนึ่ง เราไม่คิดว่าเราเป็นศิลปิน แต่เป็นพนักงานในองค์กร ทำให้ผมได้เรียนรู้การใช้ชีวิต ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองสูงส่งมาจากไหน เวลาที่ไปทำงาน ผมก็ไปนั่งกินข้าวกับพื้น นั่งกินกับสินค้า (รองเท้า) ได้ทำงานตั้งแต่ระดับต่ำ จนเข้าประชุมกับประธานบริษัท ซึ่งก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ในองค์กรที่ให้ความเอ็นดูและให้โอกาสที่ดีกับเรา
เก็บเกี่ยวทุกประสบการณ์ให้มากที่สุด
น้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่ อยากฝากให้ตั้งใจเก็บเกี่ยวเทคนิคต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับเราได้ในอนาคต เมื่อถึงวันที่ทำงานเราก็จะได้นำเทคนิคเหล่านั้นมาปรับใช้ได้ อย่างผมทำงานออฟฟิศ ก็ได้เห็นพฤติกรรมผู้บริโภค ได้รู้หลักจิตวิทยาในสังคม ถึงแม้มันจะหนักเพราะว่าหนึ่งทำงานออฟฟิศ สองตอนนี้ทำงานเพลงเป็นศิลปินเดี่ยวด้วย แต่ก็พยายามทำทุกๆ วันให้ดีที่สุด เพราะมันเป็นสิ่งที่เรารักทั้งสองอย่าง บางทีท้อ ผมก็จะใช้วิธีหาข้อคิดจากธรรมะ หรืออาหารสมองที่จะเป็นแรงผลักดันในการทำงานต่อไป
ติดตามได้ในคอลัมน์ interview นิตยสาร Campus Star No.37