บริหารชีวิตดีกรีเกียรตินิยมในสไตล์ “เจษ-เจษฎ์พิพัฒ” พระเอกช่อง one31

บริหารชีวิตดีกรีเกียรตินิยมในสไตล์ “เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์” พระเอกช่อง one31 ที่กำลังมีผลงานล่าสุด “สงครามนักปั้น ซีซั่น 2” ซึ่งนอกจากความหล่อเว่อร์โดนใจสาวๆ แล้วยังฉลาด เรียนเก่งอีกต่างหาก ไปฟังเคล็ดลับการเรียนสายบริหาร ม.เกษตรศาสตร์ จนจบปริญญาโท สาขาการเงินประยุกต์  ของหนุ่มเจษกัน

เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์

สงครามนักปั้น 2

นักศึกษาสายบริหาร ม.เกษตรศาสตร์

เป็นคนชอบวิชาเลข ไม่ชอบอะไรที่ท่องจำ แล้วที่บ้านมีธุรกิจส่วนตัวอยู่แล้ว เลยคิดว่าเรียนบริหารน่าจะต่อยอดได้ง่าย แล้วคณะบริหารธุรกิจ ม.เกษตรศาสตร์ แบ่งเป็นสายเยอะ แล้วมันมีสาขาการเงินที่แบ่งให้เราเห็นชัดเจน คือจุดสุดของคนทำงาน ถ้าจะสบายก็คือเอาเงินไปต่อเงิน ก็เลยเลือกที่นี่

เรียนแรกๆ ยากหน่อย ตอนเด็กๆ ผมจะสนใจแต่วิชาที่ชอบ แต่พอเป็นมหา’ลัย เราต้องใส่ใจทุกวิชาเท่ากัน แต่พอเข้าปี 3 ปี 4 มีเลขเยอะๆ พวกการเงิน ไฟแนนซ์ คะแนนก็ดีขึ้น ผมดีใจที่ได้เรียนม.เกษตรฯ ได้เจอสังคมไม่ติดหรู ซึ่งผมก็เป็นคนประมาณนั้น อยู่แล้วสบายใจ ได้เจอเพื่อนดีๆ ไม่มีการแข่งขันกัน แล้วทำให้ผมโตขึ้นเยอะ เพราะไปอยู่หอด้วย ต้องบริหารชีวิตตัวเอง ทำอะไรเอง ทำให้เราไม่กลัวความลำบาก

จุดเริ่มต้นนักแสดงช่อง one31

ปี 3 มีโอกาสเข้ามาที่ช่อง ตอนนั้นเรื่องเรียนเริ่มลงตัว แล้วเราได้มีโอกาสตรงนี้ เราก็อยากจะทำ ก็ทำไปพร้อมกับการเรียน ผมว่ามันอยู่ที่ Mindset เรามากกว่า เพราะว่า Mindset ผมอยากจะทำอะไรที่มันพิเศษกว่าการแค่เรียนเฉยๆ ตอนนั้นก็เลยจริงจังขึ้นมา คือมีจุดหนึ่งที่ผมไปถ่ายละครช่วงปิดเทอม เพื่อนเขาไปฝึกงาน ผมกลับมาพร้อมละครเรื่องหนึ่ง เพื่อนได้ประสบการณ์ แต่ผมไม่ได้ไป ผมก้าวช้ากว่าเพื่อน ผมดันไปทางขวา แต่เพื่อนก้าวไปทางซ้าย ผมก็เลยคิดว่าผมจะถอยทางขวากลับมา และเดินไปทางซ้ายไปเลยดีกว่า จำละครเรื่องแรกได้ ซีนแรก มันยากมาก เรื่องเสน่หา เล่นกับพี่บี-น้ำทิพย์ เล่นไป 8 เทค ก็รู้สึกว่าเราถ่วงคนอื่น หลังจากนั้นก็เลยคิดว่าเราต้องพัฒนาขึ้น ก็ปรับตัวมาเรื่อยๆ

มุมมองที่เปลี่ยนไป และอนาคตที่ก้าวต่อไป

จบปริญญาตรีใหม่ๆ ผมรู้สึก เฮ้ย จบแล้ว ได้ทำงานเต็มที่ แต่เพิ่งมาคิดได้ว่าจริงๆ การเรียนมันสำคัญ ทำให้คุณพัฒนาสมองตัวเอง เลยเลือกเรียนปริญญาโทต่อ เป็นการเงินประยุกต์ ถึงไม่ได้ทำงานด้านการเงิน ทำงานด้านละคร แต่มันก็ทำให้เราวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เอาความรู้มาบวกกับประสบการณ์

ส่วนการแสดงตอนนี้ก็ทำงานแล้วมีความสุข อยากได้บทดีๆ เจอทีมงานดีๆ อยากเห็นงานดีๆ ของตัวเอง มีคนยอมรับเราจากผลงานที่เขาเห็น รู้สึกว่านักแสดงไม่ได้แสดงพึ่งใคร ต้องพึ่งตัวเอง มันคืองานของเรา งานออกไปก็ Reflect กลับมาที่เรา ถ้ามันดี คนก็จะยอมรับว่าคุณทำงานได้

ตอนเด็กเคยมีความฝันอีกอย่างคือนักดนตรี ตอนเด็กผมตีกลองครับ พี่คนกลางก็เป็นนักดนตรีอาชีพอยู่ที่อเมริกา แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำต่อ ไม่ได้ทุ่มเทกับมันเท่าที่พี่ชายผมทำ ผมอยากทำสิ่งที่ชอบ ซึ่งทุกอย่างมันต้องใช้ความพยายาม และถ้าเราเป็นอย่างหนึ่งแล้ว เราคงจะเป็นอีกอย่างไม่ได้

ติดตามเจษในคอลัมน์ interview นิตยสาร Campus Star No.76

www.facebook.com/campusstar

ข่าวที่เกี่ยวข้อง