ย้อนชีวิตวัยเรียนโอปป้างานดี เทรนด์เกาหลี เบสท์-ณัฐสิทธิ์

ตี๋หน้าใสเทรนด์เกาหลี เป็นมาหมดแล้วทั้งดีเจ นักร้อง พระเอกเอ็มวี และนักแสดงภาพยนตร์ เบสท์-ณัฐสิทธิ์ โกฎิมนัสวนิชย์ กับอีกบทบาทหนึ่งที่เพิ่งจบมาไม่กี่ปี กับการเป็นนิสิตในวิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารการแสดง สาขาภาพยนตร์และสื่อดิจิตอล เอกออกแบบเพื่องานภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

เบสท์-ณัฐสิทธิ์

จุดเริ่มต้นเกิดจากหน้าตี๋อยากเรียนกฎหมาย

ย้อนไปตอน ม.2 ผมได้เรียนวิชากฎหมายเลยคิดว่าตัวเองอยากเรียนคณะนิติศาสตร์ ไปปรึกษาอาจารย์แนะแนวด้วยว่าชอบอ่านเกี่ยวกับคดีต่างๆ พอมาถึงม.5 จะขึ้นม.6 เป็นช่วงที่เราต้องตัดสินใจแล้วว่าจะต้องหาอะไรเรียนจริงจัง แล้วได้มีโอกาสไปเล่นเอ็มวีกับพี่คงเดช จาตุรันต์รัศมี เรียกว่าเข้าวงการตอนนั้นก็ว่าได้ พอเราได้เห็นบรรยากาศในกองต่างๆ ก็เลยคิดว่า เอ่อ ไอ้ศาสตร์นิเทศฯ เนี่ย มันน่าสนใจ ตรงกับตัวผมเลยที่ไม่อยากทำงานประจำ ได้ออกกอง ได้เจอคนใหม่ๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เลยตัดสินเข้านิเทศฯ ดีกว่า ส่วนนิติฯ ย้อนกลับไปมองก็โชคดีแล้วที่ผมไม่เรียนนิติฯ เพราะผมเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ ตอนนั้นแค่สนุกที่ข้อกฎหมายมันดิ้นได้ แต่ถ้าเข้าไปเรียนต้องอ่านตำราเยอะ คงไม่ไหว

ชีวิตในมอ ตามหาอาชีพที่ใช่ที่สุด

ตอนนั้นมศว เขามีสอบตรง ก็เลยลองไปสอบ แล้วเลือกเอกออกแบบฯ ทำอาร์ตเกี่ยวกับภาพยนตร์ทั้งหมด เพราะคิดว่าผมไม่รู้เรื่องกล้อง เรื่องกำกับ แต่สิ่งที่ถนัดที่สุดน่าจะเป็นวาดรูป แต่พอไปสอบตอนแรกก็เกร็ง เพราะคนอื่นถือกระดานมาแบบจริงจังมาก แต่สรุปติดคนแรกของห้องเลย อาจารย์ก็งงเหมือนกันว่าติดเข้ามาได้ไง ในเอกมี 30 คน เข้าไปปีแรก โอ้โห..ช็อคมาก เพราะตอนมัธยมแทบไม่แตะหนังสือ ไม่ชอบทำงานส่งอาจารย์ด้วย แต่มามหาวิทยาลัยมันไม่ใช่ไง งานต้องเป็นไอเดียของเราจริงๆ มันลอกเพื่อนไม่ได้ เลยเจอ F ติดกันสองตัวย่ำแย่ที่สุด จนปี 2 เริ่มมีสติ เอา F มาเป็นบทเรียนที่ทำให้รู้ว่าเราพลาดตรงไหนบ้าง ปรับตัวเองจนมาได้เกรด 3.5 เป็นช่วงที่ดีที่สุดของการเรียนเลย ส่วนการเรียนออกแบบก็ทำให้ผมได้รู้เรื่องในโลกภาพยนตร์มากขึ้น มันน่าตื่นเต้น แต่ในขณะเดียวกันก็ค้นพบว่ามันยังไม่ใช่ตัวเอง มันเหนื่อยมาก มันมีรายละเอียดยิบย่อยเกินไป ส่วนที่ผมชอบที่สุดกลับเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่ผมเคยได้ลองทำ ชอบที่มันเป็นเรื่องการจัดการอะไรหลายๆ อย่างทำให้ผมได้ซึมซับทุกอย่างในกอง

ดีเจ สู่ นักแสดง

การเดินทางจากดีเจ มาเป็นที่รู้จักในฐานะพระเอกเอ็มวี “อ้าว” และสุดท้ายกับสิ่งที่หลงรักคือนักแสดง

จบใหม่ๆ ผมได้มีโอกาสทำดีเจของคลื่น 95.5 เว่อร์จิ้นฮิต ถึงมันจะไม่ตรงสาย แต่มันก็เป็นเรื่องของดวงเลยนะ ผมเป็นคนชอบคว้าโอกาสไว้ก่อน เพราะถ้ามันชนเรามันจะเด้งออกไปทันที แล้วทุกคนอาจจะคิดว่าดีเจมันสนุก เป็นความฝันของผู้ชายหลายๆ คน แต่พอไปทำจริงๆ มันไม่ง่ายเลย เราต้องจัดการอะไรหลายอย่าง ผมต้องเขียนสคริปต์เอง ต้องคิดว่าเราจะพูดอะไรให้น่าสนใจ แต่ก็รู้สึกสนุกกับมัน พอหลังจากนั้นก็เลยได้ทำหลายอย่างทั้งโฆษณา พิธีกร ร้องเพลง นักแสดง แต่ผมชอบงานแสดงที่สุด

อย่างหนังสยองขวัญเรื่องล่าสุด “สยามสแควร์” ของค่ายสหมงคลฟิล์ม เล่นเป็นเด็กขี้โวยวาย ปากดี ปากหมา ก็ตรงกับผมเวลาอยู่กับเพื่อน ผมจะเป็นคนที่โวยวายชอบเฮ้ยๆๆ (หัวเราะ) แล้วผมเป็นคนชอบ Copy คนอื่น เลียนแบบท่าทางคนที่คาแรกเตอร์จัดๆ อย่างเวลาได้บทมาผมก็จะเอามาตีความในแบบของเราว่าจะต้องเป็นคนแบบไหน พอได้แสดงออกมาแล้วมันสนุกสุดๆ หลักการทำงานของผมคือแค่มีความสุขกับการทำงานก็พอ แค่ทำชีวิตให้มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ โชคดีที่ผมเป็นคนเข้ากับคนง่ายมาก เวลาไปไหนเจอใครก็สนิทกับคนง่าย ปัญหาเลยไม่มี ตอนนี้ผมก็ยังสนุกกับการทำงานเบื้องหน้าอยู่ ก็คิดว่าจะทำให้เต็มที่ ทำให้ตัวเองสุดไปก่อนจนกว่ามันจะเจอทางตัน ก็อาจจะไปลองเบื้องหลังด้วย แ

อย่างหนังสยองขวัญเรื่องล่าสุด “สยามสแควร์” ของค่ายสหมงคลฟิล์ม เล่นเป็นเด็กขี้โวยวาย ปากดี ปากหมา ก็ตรงกับผมเวลาอยู่กับเพื่อน ผมจะเป็นคนที่โวยวายชอบเฮ้ยๆๆ (หัวเราะ) แล้วผมเป็นคนชอบ Copy คนอื่น เลียนแบบท่าทางคนที่คาแรกเตอร์จัดๆ อย่างเวลาได้บทมาผมก็จะเอามาตีความในแบบของเราว่าจะต้องเป็นคนแบบไหน พอได้แสดงออกมาแล้วมันสนุกสุดๆ หลักการทำงานของผมคือแค่มีความสุขกับการทำงานก็พอ แค่ทำชีวิตให้มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ โชคดีที่ผมเป็นคนเข้ากับคนง่ายมาก เวลาไปไหนเจอใครก็สนิทกับคนง่าย ปัญหาเลยไม่มี ตอนนี้ผมก็ยังสนุกกับการทำงานเบื้องหน้าอยู่ ก็คิดว่าจะทำให้เต็มที่ ทำให้ตัวเองสุดไปก่อนจนกว่ามันจะเจอทางตัน ก็อาจจะไปลองเบื้องหลังด้วย แต่ผมว่าชีวิตมันคือการเรียนรู้ตลอดเวลา มันไม่มีที่สิ้นสุด ตอนนี้ผมอายุเท่านี้คิดว่าผมเจอตัวเองแล้ว แต่พออายุ 30 ผมอาจจะเจอตัวเองในอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้ใครจะไปรู้

www.facebook.com/campusstars

ข่าวที่เกี่ยวข้อง