เปิดใจ 3 เด็กเก่ง ที่ทำคะแนนสอบ Admission ได้สูงที่สุด ปีการศึกษา 2560

เรามักจะชอบคิดกันอยู่เสมอว่าเด็กที่เรียนเก่งนั้น จะต้องนั่งอ่านหนังสือหรือทบทวนตำราเรียนอยู่ตลอดเวลา เรียนพิเศษทุกวัน และต้องใส่แว่นหนาเตอะด้วย แต่นั่นคงไม่ถูกทั้งหมด และอาจจะเป็นความคิดที่เก่าไปเสียแล้ว ดังนั้นในบทความนี้ แคมปัส-สตาร์ จะพาทุกคนไปรู้จักกับการไลฟ์สไตล์การเรียนของ 3 เด็กเก่ง ที่สามารถทำคะแนนสอบ Admission ได้สูงที่สุดในแต่ละคณะ/สาขาวิชา ประจำปีการศึกษา 2560 ซึ่งประกาศโดย ทปอ.

เรียนไปเล่นไป เคล็ดลับของ 3 เด็กเก่ง

อันดับ 1 ของประเทศ : นายครองพิภพ วิรัตินันท์ (น้องเก๊ต)

นายครองพิภพ วิรัตินันท์ หรือน้องเก๊ต อายุ 18 ปี นักเรียนจากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช สามารถทำคะแนนสอบ Admission ได้สูงที่สุดในคณะ/สาขาวิชา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 89.03

โดยน้องเก๊ตได้กล่าว่า จริงๆ ชีวิตก็ไม่ต่างจากเด็กนักเรียนทั่วไป เพียงแต่เวลาเรียนในห้องเรียนจะตั้งใจเรียนเต็มที่ กลับบ้านมาตอนเย็นก็จะทบทวนตำราเรียน หากสนใจเพิ่มเติมก็จะไปหาหนังสือมาอ่านหรือค้นหาในอินเทอร์เน็ต หลังทบทวนเสร็จหรือเวลาเครียดๆ ก็ไปวิ่งออกกำลังกาย ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ร่างกายกระปรี้กระเปร่า และถ้าไม่จำเป็นต้องเสริมจริงๆ จะไม่เรียนพิเศษ เพราะคิดว่าเสียเวลาที่ต้องไปเรียนเนื้อหาคล้ายๆ กับที่เรียนในห้องเรียน ทำไมไม่ตั้งใจเรียนในห้องตั้งแต่แรก

น้องเก๊ต เริ่มค้นหาเป้าหมายชีวิตเจอตั้งแต่ชั้น ม.5 จากการชอบดูภาพยนตร์ นอกเหนือจากการดูเขายังต่อยอดด้วยการฝึกตัดต่อภาพยนตร์เล่นๆ สมัครเข้าเรียนคอร์สสอนตัดต่อภาพยนตร์ฟรีในอินเทอร์เน็ต จึงเกิดเป็นความสนใจที่จะเรียนสาขาภาพยนตร์ และใฝ่ฝันอยากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ซึ่งพ่อแม่ก็ให้อิสระในการตัดสินใจเรียน

“พ่อแม่เลี้ยงดูผมอย่างให้อิสระ ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับการเรียนผม เพียงแต่อาจมีให้คำแนะนำ คำปรึกษาบ้าง เวลาผมนอกลู่นอกทาง แต่ท่านก็ไม่ล่วงความเป็นส่วนตัว เหล่านี้ทำให้ผมรู้จักบริหารจัดการตัวเองเป็น แต่การเลี้ยงดูแบบนี้ก็ใช่ว่าครอบครัวอื่นจะใช้ตามแล้วประสบความสำเร็จหมด เพราะเด็กไม่เหมือนกัน”

น้องเก๊ต ยังได้กล่าวต่ออีกว่า แต่ก็ไม่ใช่อิสระหมดจนไม่ได้ทำอะไร เพราะในบ้านเราจะแบ่งหน้าที่กันทำทุกวัน หน้าที่ของตนคือ การล้างจาน ถูบ้าน ซึ่งก็แปลว่างานบ้านมันฝึกให้เป็นคนมีวินัย ถือเป็นจุดเล็กๆ ที่ช่วยได้ในชีวิตจริง

สุดท้ายน้องเก๊ต ยังได้ฝากถึงน้องๆ ที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ต้องหาเป้าหมายให้ชัดเจนก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร อาจเอาแนวทางของรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จเป็นไกด์ไลน์ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามทั้งหมด แต่ต้องทำในวิธีการที่ปรับเข้ากับตัวเอง และแน่นอนว่าการจะประสบความสำเร็จได้ สมาธิดี เรียนรู้เร็วอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องใช้ความพยายามควบคู่ไปด้วย

มาถึงคนที่ 2 : นายธีรภัทร อรุณรัตน์ (น้องทีม)

นายธีรภัทร อรุณรัตน์ หรือน้องทีม อายุ 18 จากโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ จ.สงขลา สามารถทำคะแนนสอบ Admission ได้สูงที่สุดในคณะ/สาขาวิชา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 86.75

น้องทีมได้กล่าวว่า เป็นอีกคนที่ไม่ค่อยได้เรียนพิเศษ ส่วนใหญ่อาศัยอ่านหนังสือเอง โดยจะกำหนดเป็นตารางเลยว่าใน 7 วัน ต้องอ่านหนังสือ 5 วัน ส่วนอีก 2 วัน จะไปออกกำลังกายและเล่นกีฬากับเพื่อน เช่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล เพื่อให้ผ่อนคลายสมองบ้าง เพราะถ้าอ่านหนังสือทุกวันตลอด จะเหนื่อยและเกิดความท้อในที่สุด แต่ก็มีช่วงใกล้สอบที่พยายามอ่านหนังสือทุกวัน ซึ่งทั้งหมดเป็นการบาลานซ์ชีวิตว่าช่วงไหนควรเรียน ควรพักผ่อน นั่นเอง

ซึ่งน้องทีมยังได้บอกอีกว่า ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งเลย แต่ความสำเร็จที่ได้มาเกิดจากความตั้งใจ โดยต้องมีเป้าหมายก่อนเพื่อทำให้ไม่ไขว้เขว ซึ่งผมค้นพบความชอบตัวเองตอนช่วงกลาง ม.6 ที่ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม ที่สาธารณรัฐเช็ก เวลา 10 เดือน หลังจากนั้นผมก็เน้นอ่านวิชาที่ต้องการ ทุ่มเทเต็มที่ทั้งในห้องเรียนและอ่านหนังสือ ส่วนวิชาอื่นๆ ก็ทำตามหน้าที่ แต่ก็ไม่ใช่จะทิ้งไปเลย

คนที่ 3 : นางสาวณนิฐตา ธานินทร์ปฐมรัฐ (น้องแป้ม)

นางสาวณนิฐตา ธานินทร์ปฐมรัฐ หรือน้องแป้ม จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ กรุงเทพฯ สามารถทำคะแนนสอบ Admission สูงอันดับที่ 5 คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 86.51

น้องแป้ม ได้กล่าวว่า นอกจากการเรียนในห้องเรียนและเรียนพิเศษ ถ้ามีเวลาว่างจะไปดูหนัง บางช่วงก็ไปซ้อมเต้นโคฟเวอร์ พวกเพลงเกาหลี เพลงฝรั่งกับเพื่อนๆ จริงจังถึงขนาดว่าตอน ม.5 เคยคว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดเต้นโคฟเวอร์ที่โรงเรียนด้วย ทั้งนี้ การเต้นทำให้ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ รู้จักแบ่งเวลาและคลายเครียด แม้ตอนแรกคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วง แต่พอได้พิสูจน์ให้ท่านเห็นว่า เต้นแล้วการเรียนไม่ตก ท่านเลยไม่ว่าอะไร นอกนั้นเวลาว่างๆ ก็วาดรูปบ้าง ซึ่งศึกษาจากในอินเทอร์เน็ต

“ที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ทำงานทั้งคู่ ท่านไม่พูดมาก อาจถามแค่ว่าสอบเมื่อไหร่ แต่โดยรวมให้แป้มตัดสินใจเองทุกอย่าง จึงต้องรับผิดชอบตัวเอง ส่วนที่เลือกเรียนคณะนี้ เพราะคิดว่าสามารถช่วยคนได้จริงๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ จากแต่ก่อนเวลาคนมีปัญหาทางจิตใจจะถูกแนะนำให้ไปเข้าหาศาสนาอย่างเดียว”

น้องแป้ม ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนมีสมาธิสูง ทำให้เรียนรู้ได้เร็ว เวลาอ่านหนังสือเธอชอบเปิดเพลงฟังไปด้วย เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงอย่างอื่น ส่วนเพลงที่ฟังจะเป็นพวกดนตรีบรรเลง เพลงต่างประเทศที่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่เคล็ดลับที่ทำให้ประสบความสำเร็จจริงๆ คือการชอบนำเนื้อหาที่เรียนปกติและเรียนพิเศษ มาย่อยตามความเข้าใจ โดยทำเป็นมายแมป ซึ่งเธอบอกว่า “ทำให้เข้าใจได้ดี”

น้องแป้ม ยังได้ฝากถึงน้องๆ ที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีต่อๆ ไปด้วยว่า พยายามค้นหาตัวเองให้เจอ ดูหลายๆ คณะ ไม่จำเป็นต้องมองแต่คณะดังที่รู้จักและไม่ต้องรีบเลือก และเมื่อเจอคณะที่ใช่ก็สามารถวางแผนต่อว่าจะใช้คะแนนอะไร อ่านหนังสืออะไร

ขอบคุณที่มา : www.matichon.co.th

ข่าวที่เกี่ยวข้อง