มารู้จัก ทอย The Toys หนุ่มอินดี้ เสียงดี มีสไตล์ เจ้าของเพลง “หน้าหนาวที่แล้ว”

“เด็กสมัยนี้โตไวเนาะ” เป็นประโยคสุดคลาสสิคของเพลง “หน้าหนาวที่แล้ว” ที่ฮิตติดหูกันเหลือเกินในหมู่วัยรุ่น และเชื่อเลยว่าเพลงนี้คงเป็นเพลงโปรดของใครหลายๆ คน เพราะมียอดวิวสูงถึง 31 ล้านวิว! และก็ดูเหมือนวิวจะเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จากที่ฟังเสียง และความหมายของเพลง ก็พอจะเดาออกได้ว่า คนร้องต้องมีความสามารถพอตัว แต่ตัวตนของ The Toys เองก็ยังเป็นปริศนาของใครหลายๆ คน วันนี้ Campus-Star จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเขา ทอย The Toys หนุ่มอินดี้ เสียงดี มีสไตล์ ให้มากขึ้น!! งานนี้แฟนเพลงเตรียมฟินกันได้เลย เพราะ The Toys ของเราเปิดหมดเปลือกเลยจ้า

เปิดทุกเรื่องไม่มีกั๊ก ของ The Toys

เรื่องเรียน

การเรียนเป็นยังไงบ้าง

ตอนอายุ 17 ผมดร็อปเรียนไว้ แล้วก็ออกมาทำงานก่อน  เพราะว่า ตอนนั้นมีค่ายเพลงที่หนึ่งที่ติดต่อผมไปเป็นโปรดิวเซอร์ ซึ่งผมกำลังคิดว่า มันเรียนไปด้วย ทำไปด้วยไม่ได้อยู่แล้ว มันต้องเลือก เพราะมันก็หนักพอสมควร ผมก็มานั่งคิดว่า เฮ้ย…โอเค ถ้าวันหนึ่งเราเรียนต่อไป เราเรียนจบมา อายุ 21 การเรียนเป็นสิ่งที่ดี ผมเข้าใจ แต่ผมกลัวว่า ถึงเวลานั้น ผมจะสู้เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้แล้ว แต่ในตอนนั้นผมไฟแรงมาก ผมก็เลยคิดว่า เฮ้ย ลองซักตั้ง ดร็อปไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวกลับไปเรียนใหม่ แต่ก็ทำงานยาวเลยจนถึงทุกวันนี้ (หัวเราะ)

แล้วหลังจากดร็อปที่บ้านว่ายังไงบ้าง

ที่บ้านไม่แฮปปี้อยู่แล้วครับ แต่เราก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ ผมก็ส่งตังค์ให้ที่บ้าน ทำงานให้เห็นว่าผมได้เท่านี้นะ ถ้าผมเรียนต่อ ค่าเทอมเท่านี้ จบมาได้เท่านี้ เทียบกับที่ผมทำตอนนี้ ให้เขาเห็นภาพ แต่ผมก็คิดเสมอว่า การเรียนเป็นสิ่งที่ดีมาก ซึ่งถ้าพร้อม…วันหนึ่งผมก็คงกลับไปเรียน

จะเรียนดนตรีอีกมั้ย

ไม่ครับ ผมอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น เพราะ ผมชอบภาษาญี่ปุ่นอยู่แล้ว แล้วก็เรื่องด้านการตลาดที่ผมชอบมาโดยตลอด มันค่อนข้างสอดคล้องกับภาษาญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งแนวเพลงที่ผมชอบทำ ส่วนใหญ่มันก็จะไปตรงกับความชอบของคนญี่ปุ่น ผมก็เลยคิดว่ามันอาจจะไปต่อยอดชีวิตอะไรได้อีกเยอะ

ช่วงแรกที่ดร็อปก็คือยังไม่ได้ไปลงนอกเวลา

ไม่ครับ ตอนแรกก็ว่าจะลงนอกเวลาแล้ว แต่ตอนนั้นงานมาเยอะ ก็เลยต้องเลือกงาน

ช่วงแรกๆ ที่เหมือนดร็อปไว้ แล้วก็ต้องพิสูจน์ให้ที่บ้านเห็น เราต้องทุ่มเทอะไรยังไงบ้าง ช่วงนั้นเป็นไง :

โอ้โห แรงกดดันมาทุกรูปแบบอะครับ แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งก็คือ สิ่งใดก็ตามแต่ที่เราทำไปเรื่อยๆ ถึงแม้เราจะไม่เห็นปลายทาง แต่ถ้าเราทำๆ ไปเรื่อยๆ ผมว่าอย่างหนึ่ง คือ มันแฮปปี้กับผมแล้ว สอง คือ ความสำเร็จมันก็จะค่อยๆ เห็นรูปมากขึ้น ค่อยๆ มาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เราก็แค่ทำให้มันชัดขึ้น ผมก็พยายามทำต่อไป กัดฟัน ทนรับแรงกดดันไปเรื่อยๆ

เทคนิคการเรียน

ผมว่าการเรียนมันเอามาเสริมเรา มันไม่ได้เอามาครอบเรา เราต้องคิดก่อนว่า สมมุติว่าเราต้องเรียนวิชานี้แล้วมันจะส่งให้เราไปได้ระดับไหน อย่างเต็มที่ 70% แต่เราไม่ได้เรียนเพื่อที่จะให้มันมาครอบเราอีกทีหนึ่ง ไม่ได้เรียนเพื่อให้มันมาตีกรอบเรา ผมมองว่าทุกอย่างที่ผมเรียนมันต้องเอาไปใช้ได้จริง

ตอนนั้นแบ่งเวลายังไง ทั้งงาน ทั้งดนตรี

ตอนนั้นมันค่อนข้างสบายอยู่แล้วครับ เพราะผมเรียนตอนเช้า แล้วไอเดียในการคิดเพลงมันมาตอนดึกอยู่แล้ว ตอนเช้าผมก็ตั้งใจเรียน แต่ตอนดึกเราก็สามารถคิดงานของเราได้ มันไม่ทับกันอยู่แล้ว

เวลาอ่านหนังสือ เรามีเทคนิคในการจำยังไง

ผมชอบทำเป็นสูตรครับ ทุกวิชามันจะมีสูตรไม่มากก็น้อย มันจะมีเคล็ดลับในการจำ ผมชอบไปจับตรงนั้นก่อนที่จะอ่านหนังสือ เช่น เราอ่านหนังสือโดยที่เราไม่รู้ว่าเป้าหมายเราคืออะไร ผมว่ามันจะนานกว่าจะจำได้ แต่ถ้าเรารู้เคล็ดลับว่าต้องจำตรงนี้ก่อน ผมก็จะเอาตรงนั้นมาใช้กับหนังสือที่ผมจะอ่าน

เป้าหมายในการเรียน

ก็เหมือนเดิมครับผม เมื่อผมเคลียร์จากงานตรงนี้ได้แล้ว ผมก็จะกลับไปเรียน

เล็งที่ไหนไว้?

ที่ไหนก็ได้ครับ เพราะมันอยู่ที่ตัวผู้เรียน

วิธีฝึกฝนตัวเองในเรื่องดนตรี

เรื่องร้องเพลงผมไม่มีแรงอ่ะครับ (ขำ) พอดีที่ค่าย What The Duck หาอาจารย์สอนร้องเพลงให้ ซึ่งช่วยผมได้มาก เขาสอนให้ร้องเพลงยังไงแบบไม่มีแรงแต่เป็นตัวเอง เพราะผมไม่ชอบใช้แรงในการร้องเพลง แต่ยังมีสไตล์ที่เป็นผมอยู่ ให้มันเต็มเสียง แค่นี้พอแล้ว แต่ในเรื่องโปรดิวซ์ ผมก็ตามศึกษาว่า คนใน พ.ศ. นี้คนเขาไปถึงไหนกันแล้ว เป้าหมายในการทำโปรดิวซ์ของผม คือ ผมไม่อยากทำแล้วได้ตังค์จบ คือ ผมอยากปฏิวัติวงการเพลงไทยให้ชาวต่างชาติฟังเพลงไทยได้มากขึ้น

เรื่องไลฟ์สไตล์

งานอดิเรกนอกจากการทำเพลง

เล่นเกมส์ เล่นรูบิค ควงปากกา อะไรเพลินๆ ดูหนังก็ได้ครับ ผมชอบหนังแนวไซไฟ อะไรเวอร์ๆ หน่อยครับ

ขอสามคำที่เป็นทอย

(คิดนาน) ไม่-รู้-จัก คือ ผมไม่รู้จักตัวเอง (ขำ)

จริงๆ แล้วทอยเป็นคนยังไง

เป็นคนขี้อายครับ แต่เวลาอยู่กับเพื่อนสนิทก็จะเป็นคนตลก แต่อยู่กับคนไม่รู้ก็จะขรึมๆ หน่อย โลกส่วนตัวสูง อินดี้ๆ อะครับ (ขำ)

นิยามความรักของทอย

โห (ทำท่าหนักใจ) รักก็คือ…สิ่งที่ทุกคนเกิดมามันก็มีอยู่แล้ว แต่ความรักมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียนะผมว่า เรารักกันเพื่อเราสนองตัวเอง ทุกครั้งที่เราเทคแคร์เขา สุดท้ายคือเราก็ทำเพื่อการสนองตัวเอง ความรักก็คือความสุขชนิดหนึ่งที่มีอยู่แล้วตั้งแต่เกิด แล้วเราก็คอยแก้ปัญหามันมาเรื่อยๆ ครับ ลึกไปมั้ย (ขำ)

สเปคผู้หญิง

นิสัยดี เอาจริงเอาจังกับชีวิต หน้าตาก็ยังไงก็ได้ครับ

วิธีจีบผู้หญิง

ก็เบสิกครับ ถ้ามีโอกาสได้คุย ก็คุยไปเรื่อยๆ

เป็นคนโรแมนติกมั้ย

ไม่ครับ ผมเบสิกมาก ธรรมดามากๆ

เรื่องโรแมนติกที่สุดที่เคยทำ

ถ้าที่สุดในชีวิต ก็คงเอาช็อกโกแล็ตไปไว้ใต้โต๊ะผู้หญิงที่ชอบครับ (ขำ)

เวลาที่เราท้อ เครียด มีความทุกข์ทำยังไงถึงผ่านมันไปได้

ผมคิดว่า ต่อให้ผมจะท้อเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ก็ยังมีคนที่มันมีปัญหามากกว่าผม ทำไมเขายังข้ามผ่านมันไปได้ เขายังอดทนได้ ยังไงเราก็ต้องผ่านไปให้ได้  ก็กัดฟัน ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้วก็ข้ามผ่านมันไป

คติประจำใจ

เยอะมากเลยอะ… สักอันก็ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ครับ (ยิ้ม).

เรื่องดนตรี

ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กเลยรึป่าว

ไม่ครับ ผมไม่เคยรู้สึกว่าชอบ แต่แค่รู้สึกว่า เฮ้ย เราก็ทำได้ พอทำแล้วมันก็เพลินดี แค่นั้นครับ

เข้าสู่วงการเพลงได้ยังไง

จริงๆ ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ เพราะตอนอายุ 17 ผมลองทำเพลงให้ศิลปินคนหนึ่ง (อะตอม My idol) ซึ่งเขาก็โอเคกับสิ่งที่เราทำให้ครับ น่าจะเริ่มจากตรงนี้

คุณแม่ให้คำแนะนำอะไรบ้างมั้ย

คุณแม่ไม่เคยสนับสนุนเรื่องดนตรีเลยครับ เขาให้เล่นแก้เบื่อ แต่ไม่ให้จริงจัง เพราะ เขาบอกว่าดนตรีมันไม่มีตรงกลาง คือ ถ้าไม่เก่งสุดๆ ไปเลย ก็คือ เล่นๆ ไปเหอะ แต่ผมดันทุ่มเทเกินไป หมายถึง ใช้เวลากับดนตรีมากเกินไป จนคุณแม่ก็เลยต้องตัดมันออก เลยส่งให้ผมไปเรียนต่ออยู่ช่วงหนึ่ง

แล้วมีวิธีพูดยังไงให้คุณแม่ยอมให้เล่นดนตรี

ไม่ได้พูดอะไรนะครับ เพราะ ยังไงคุณแม่ก็ไม่ยอมอยู่แล้ว ต่อให้พูดอะไรไปก็คงไม่มีผล แต่เริ่มเขาจะมาโอเคขึ้นก็ตอนผมชนะแข่งกีต้าร์ (Overdrive Guitar Contest) แล้วก็เริ่มมีรายได้ด้านการโปรดิวซ์ครับ

ทำไมถึงตัดสินใจไปประกวด

ผมเป็นคนดูรายการประกวดดนตรีอยู่แล้วครับ พอดีตัวเองเล่นกีต้าร์ ก็จะติดตามว่า ในประเทศไทยมีรายการประกวดกีต้าร์แบบไหนบ้าง ก็ไปเจอ Overdrive  แต่ยังไม่ได้ลงนะครับ อันดับแรก ผมติดตามมาหลายๆ ปีก่อน จนถึงปีนั้น คิดว่า ตัวเองพร้อมก็เลยส่งคลิปไป ซึ่งไม่ได้คาดหวังอะไรครับ ปรากฏว่าเข้ารอบสุดท้ายได้ ก็ดีใจมากครับ (ยิ้ม) เลยเล่นแล้วก็ส่งประกวดต่อ

เตรียมตัวหนักแค่ไหน

ไม่ได้เตรียมตัวเลยครับ มาเตรียมตัววันสุดท้ายก่อนเดดไลน์ มันจะมีเดดไลน์ คือ วันสุดท้าย วันที่ 30 เขาจะให้ 30 วัน ซึ่งผมก็ส่งวันที่ 30 พอดี คือแบบส่งเล่นๆ ไม่ได้คาดหวังอะไร

คิดมั้ยว่าจะชนะประกวด

มันมีนิดหนึ่งครับ ผมแค่คิดว่า เฮ้ย เราก็แปลกเหมือนกันนะ คือ อย่างน้อยเราเล่น แล้วเราได้เอาสไตล์ของเราออกไปให้คนดูเขาจำได้ แค่นี้ผมก็แฮปปี้แล้ว

จากวันที่ชนะแล้ว ชีวิตเปลี่ยนไปมั้ย

เปลี่ยนไปในทางการทำเพลงครับผม ไปในทางที่มีเพื่อนมากขึ้น มีผู้ใหญ่ชวนไปทำนู่นทำนี่ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีครับ

ศิลปินไทยมีใครเป็นไอดอลทางดนตรี

พี่ตู่-ภพธร แล้วก็ พี่ดา-เอนโดรฟิน ครับ

จุดเริ่มต้นของ Channel The Toys

เป็น Channel ที่เล่นกีต้าร์ครับ ลงคลิปประกวดกีต้าร์ เพราะ เวลาที่เราประกวดกีต้าร์ เราต้องหาช่องที่ลงคลิปเพื่อที่จะส่งให้ทางต่างประเทศดู ผมก็แค่สมัครสมาชิกไว้ ส่วนเพลง “หน้าหนาวที่แล้ว” เนี่ย มันเป็นเพลงที่ไม่ผ่าน ผมส่งไปให้ค่ายเพลงค่ายหนึ่งซึ่งเขาไม่เลือก เขาให้เหตุผลว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นเพลงดังได้ ผมก็อ๋อ ครับผม ก็ไม่ได้คิดอะไร แค่เสียดาย ก็เลยหยิบมาลง Channel The Toys

เพลงหน้าหนาวที่แล้ว มีที่มายังไง

มาจากเรื่องเล็กๆ ครับ เรื่องของเพื่อน วันนั้นนั่งกันอยู่สามคน ผมถามเพื่อนว่า เฮ้ย ทำอะไรกันดี ไม่มีอะไรทำเลย อากาศข้างนอกมันก็หนาว จะไปทำอะไรข้างนอกก็ไม่ได้ เพื่อนอีกคนหนึ่งก็เลยถามว่า ปีที่แล้วทำอะไร เพื่อนอีกคนตอบ อยู่กับแฟน ไปดูหนัง โคตรแฮปปี้ สนุก มีความสุขมาก ผมก็จำแค่ตรงนั้น มันมี Emotional ดี ดูมีความลึกซึ้งของมันในตัว ผมก็เอาตรงนั้นแหละมาเขียน แค่นั้นเองครับ (ยิ้ม)

อะไรคือแรงบันดาลใจในการทำเพลง

มันไม่ตายตัวครับ อย่างสมมุติว่า บางวันเราตื่นเช้าขึ้นมา แต่เมื่อวานเราเจอเรื่องแย่ๆ  ตอนเช้าก็จะไม่ค่อยคิดอะไรออก เราก็จะเก็บเรื่องเมื่อวานที่มันแย่ๆ มาเขียนเพลง

เพลงไหนที่แต่งออกมาแล้วเป็นเรามากที่สุด

เพลง “ขอโทษที่เป็นแบบนี้” ครับ เพราะเรารู้สึกว่า ชีวิตนี้เราไม่ได้เพอร์เฟคขนาดนั้น มันมีคนที่เพอร์เฟคมากกว่าเรา อยู่ข้างๆ เธอ เธอในที่นี้อาจจะไม่ได้เป็นแฟนก็ได้ อาจจะเป็นคุณแม่หรือใครก็ได้ ซึ่งเขาทำให้เธอได้เยอะกว่า แล้วทำไมเราทำไม่ได้ เราก็แค่ขอโทษที่เราได้แค่นี้ แต่ถ้ามีโอกาสก็เราก็จะทำให้ดีที่สุด

การร้องเพลง การแต่งเพลง โปรดิวซ์ เราชอบอันไหนมากกว่ากัน

ผมไม่เคยชอบการร้องเพลงเลยครับ เพราะส่วนตัวผมเป็นคนเสียงเบา แล้วก็สู้ใครไม่ได้ในเรื่องการร้องเพลง คือไปร้องเพลงที่ไหนก็คงแพ้เรื่องพลังเสียง แต่ที่ร้อง เพราะว่า มันประกอบการโปรดิวซ์ของเรา เพราะจริงๆ ผมเป็นคนชอบทำงานด้านเพลง หมายถึงทำทั้งชิ้น ทำทุกขั้นตอนครับ ถ้าชอบที่สุดก็คงจะเป็นโปรดิวเซอร์ครับ ผมชอบอยู่เบื้องหลังคน แล้วสนับสนุนผลงานมากกว่า

อยากลองทำอย่างอื่นดูบ้างมั้ย เล่นละคร เล่นหนัง

ไม่ครับ ไม่น่ารอด (ขำ)

ส่วนตัวชอบเพลงแนวไหน

ได้หมดทุกแนวบนโลกครับ

ฝากซิงเกิ้ลใหม่

“ก่อนฤดูฝน” เป็นซิงเกิ้ลที่สองครับ เนื้อหามันก็ไม่มีอะไรมาก แค่ฝนตกลงมา แล้วมันทำให้เราคิดถึงคนๆ หนึ่งที่เมื่อตอนฝนตกเราอยู่ด้วยกัน แล้วนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้บอกรักเขา เราได้บอกคิดถึงเขา แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีก แต่ว่าจุดพีคมันอยู่ที่ท่อนแร็พ เขาเรียกท่อนแร็พนี้ว่า Flip ซึ่งผมเซ็งมากเลยอย่างหนึ่ง คือ ตอนผมแต่งเพลงหน้าหนาวที่แล้ว ผมก็พยายามจะใส่ท่อนที่ยากที่สุด เพราะว่าผมคิดว่า เพลงเอาไว้ฟัง ซี่งทุกวันนี้ ผมกดเข้าไปดู เพลงหน้าหนาวที่แล้ว คนร้องได้หมดเลย คราวนี้ผมก็เลยอยากจะแก้แค้นทุกคนทำท่อน Flip ร้องรวดเดียว ให้ฟังไม่ได้ ให้ร้องไม่ได้เลย (ขำ)

สำหรับคนที่อยากจะประสบความสำเร็จแบบทอย ต้องทำยังไง

นี่ผมประสบความสำเร็จแล้วเหรอ (ขำ) คือผมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จตั้งแต่แรกครับ มันก็มีช่วงที่เละเทะไปบ้าง แต่สุดท้ายถ้าเราทำไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ได้คาดหวังว่า คนฟังมันต้องฟังเยอะ ต่อแค่คนจะฟังแค่หนึ่งพันคน หรือแค่หนึ่งร้อยคน เราก็แฮปปี้ เพราะว่า ในสิ่งที่เราทำอะ ร้อยคนชอบแล้ว ยอดวิวมันไม่ได้เป็นตัววัดว่า เราประสบความสำเร็จครับ ทุกวันนี้ผมยังคิดเลยว่า คน 31 ล้านฟังผม แต่ เขาชอบผมเหมือนกันจริงๆ กี่คน ผมว่า การประสบความสำเร็จจริงๆ คือ เราแฮปปี้ในการทำและทำต่อไปให้เรื่อย

สัมภาษณ์เมื่อ 5 มิถุนายน 2517

บทความแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง