ข้อสอบ IELTS เป็นแบบทดสอบความสามารถด้านภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะใครที่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็จำเป็นจำต้องสอบ เพื่อนำผลคะแนนสอบวัดระดับภาษาอังกฤษไปยื่นกับมหาวิทยาลัย ในต่างประเทศ ว่าคุณมีทักษะภาษาอังกฤษอยู่ในระดับไหน จะสามารถเข้าเรียนได้หรือไม่ วันนี้เราก็จะมา รีวิวการสอบ IELTS ปี 2019 ให้ฟังกัน
รีวิวการสอบ IELTS ปี 2019
แต่ก่อนที่เราจะไปดูกันว่าข้อสอบจะออกอะไรบ้าง เราลองมาทำความรู้จักกับข้อสอบ IELTS กันก่อนว่า ข้อสอบมีกี่แบบ แต่ละแบบต่างกันอย่างไร และผลสอบนี้สามารถนำไปทำอะไรได้
ทำความรู้จัก IELTS ก่อนสมัครสอบ
การสอบ IELTS โดยส่วนมากมักจะใช้เพื่อสมัครเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ของสหราชอาณาจักร หรืออาจจะเป็นประเทศอื่นๆ ก็ได้ ที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดให้ยื่นคะแนน IELTS โดยการสอบก็จะมี 2 แบบ คือ IELTS for UK Visas and Immigration (UKVI) กับ IELTS Academic
– UKVI จะใช้ในการสมัครวีซ่า และการตรวจคนเข้าเมืองแห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งในกรณีที่จะสอบเพื่อไปเรียนต่อ เราจะต้องได้จดหมายตอบรับให้เข้าเรียนของมหาวิทยาลัยมาก่อนแล้ว และทางมหาวิทยาลัยก็จะกำหนดคะแนนขั้นต่ำที่จะต้องได้ ถ้าลองไปสอบแล้วคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ ก็ค่อยไปเรียนปรับภาษาเอา แบบนี้จะมีค่าสอบแพงกว่าแบบ Academic
– Academic ใช้ในการยื่นเรียนต่อต่างประเทศเช่นกัน แต่การสอบแบบนี้เราจะต้องสอบให้ได้คะแนนตามเกณฑ์ ที่มหาวิทยาลัยกำหนด ไม่มีสิทธิ์เรียนปรับภาษา ซึ่งมหาวิทยาลัยก็จะกำหนดขั้นต่ำมาว่าคะแนนรวมต้องได้ 6 ขึ้นไป และแต่ละทักษะคะแนนห้ามต่ำกว่า 6 ก็หมายความว่าถึงจะได้คะแนนรวม 6 แต่คะแนนแยกของทักษะใด ทักษะหนึ่งต่ำกว่า 6 ก็ใช้ไม่ได้ต้องไปสอบใหม่นะ
ในข้อสอบออกอะไรบ้าง?
ข้อสอบ IELTS จะวัดทักษะภาษาอังกฤษในทุกด้านทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยพาร์ท Listening, Reading และ Writing จะสอบต่อกันในวันเสาร์ช่วงเช้า ส่วนพาร์ท Speaking เราจะสามารถเลือกได้ว่าจะสอบวันศุกร์ หรือสอบต่อในวันเสาร์ ช่วงบ่าย หรือวันอาทิตย์ ก็ได้ ซึ่งก่อนวันสอบจะมีอีเมลจากทาง British Council ที่ระบุวันเวลา เลขประจำตัวการสอบและรายละเอียดต่างๆ ส่งมาให้ ในวันสอบก็เตรียมมาแค่บัตรประชาชน หรือพาสปอร์ตตัวจริง ปากกา และอุปกรณ์ที่ใช้ในการสอบ ทางสนามสอบได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว ทีนี้ลองมาข้อสอบแต่ละพาร์ทกันว่า ออกสอบอะไรบ้าง
Listening
ข้อสอบส่วนนี้จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนย่อย 40 คำถาม มีเวลาให้ทำทั้งหมด 40 นาที แบ่งเป็นฟัง 30 นาที และอีก 10 นาทีจะเป็นเวลาให้เขียนคำตอบลงกระดาษ ส่วนวิธีการสอบการฟัง ผู้สอบจะได้รับหูฟัง 1 อัน เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการสอบ ก่อนสอบเจ้าหน้าที่คุมสอบจะมีเวลาให้เช็คหูฟัง ส่วนรูปแบบคำถามก็จะมีทั้งเติมคำในช่องว่าง ก็จะเป็นการเติมคำทั่วไป เช่น ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ สถานที่ รหัสไปรษณีย์ กิจกรรม ฯลฯ แล้วก็มีข้อสอบแบบจับคู่ ปรนัย และส่วนสุดท้ายจะให้ฟังเป็น Lecture แล้วเติมคำ
Reading
ข้อสอบส่วนนี้จะมี 3 passages 40 คำถาม ให้เวลาทำ 60 นาที ความยาวของเรื่องที่เอามาให้อ่านจะอยู่ที่ 2000-2750 คำ ก็ค่อนข้างยาว ดังนั้นในการทำข้อสอบการอ่านก็จะต้องจัดการกับเวลาให้ดี เรื่องที่เอามาให้อ่านก็จะเป็นพวกบทความ งานวิจัย ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์
Writing
ข้อสอบส่วนนี้จะมี 2 คำสั่งหลัก ให้เวลาทำทั้งหมด 60 นาทีด้วยกัน โดยคำสั่งแรกให้เขียนอธิบายกราฟ อย่างต่ำ 150 คำ ซึ่งกราฟก็มีหลากหลายแบบมากทั้ง Chart, Bar Chart, Pie Chart, Map, Process ซึ่งก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ข้อสอบจะเอากราฟแบบใดมาให้เราเขียน และอีกคำสั่งหนึ่งคือให้ให้เขียน Essay ความยาว 250 ตามหัวเรื่องที่กำหนด
Speaking
ในส่วนของการสอบทักษะด้านการพูด จะเป็นการสอบพูดตัวต่อตัวกับชาวต่างชาติโดยตรง การสอบจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที คำถามที่กรรมการถามก็จะแบ่งเป็น 3 ส่วนย่อยๆ ตั้งแต่คำถามทั่วๆ ไปเกี่ยวกับตัวเรา เช่น เรียนอะไรมา มีความสนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จากนั้นก็จะมีการ์ดคำถามให้ ในการ์ดจะมีหลายคำถามสำหรับตอบ 1 หัวข้อ ในส่วนนี้เขาจะให้เวลาเราอ่านคำถาม และจดโน้ตสั้นๆ ลงกระดาษได้ 1 นาที ก่อนเริ่มตอบ ซึ่งเขาจะให้เวลาพูดตรงส่วนนี้ประมาณ 1-2 นาที และข้อสอบส่วนสุดท้าย ก็จะถามเป็น abstract question ถ้าเราตอบสั้น เขาจะโยนคำถามใส่เรามากขึ้น
ที่มา : minimore.com
บทความแนะนำ
- การสอบ TOEFL มีกี่แบบ แต่ละแบบคืออะไร? เอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง
- การสอบวัดระดับภาษาต่างๆ ที่สามารถเอาไปสมัครทุน และยื่นเข้ามหาวิทยาลัยได้
- ตารางการสอบวัดระดับภาษาเกาหลี (TOPIK) ในไทย ของปี 2019
- ทุนเรียนต่อต่างประเทศ จาก University of Sydney สำหรับ นักศึกษา ป.ตรี-โท
- ทุนการศึกษาจาก Wilfrid Laurier University ประเทศแคนาดา ประจำปี 2019