เรื่องเล่าน่ารู้น่าสนใจเกี่ยวกับ มมส. (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม)

มีเรื่องน่าอ่านมาฝาก สำหรับคนที่สนใจอยากจะรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ มมส. หรือ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งบางเรื่องอาจจะเก่าแล้ว บางเรื่องอาจจะหายไปไม่มีหลักฐาน เอาเป็นว่าอ่านเล่นๆ เป็นความรู้ไปด้วยเลยนะคะ

เรื่องเล่าน่ารู้น่าสนใจเกี่ยวกับ มมส.

ดอกคูณผลิช่อ ลูกมอแม่น้ำชี

โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นโรงเรียนสาธิตที่เดียวในประเทศไทยที่ไม่ขึ้นกับคณะศึกษาศาสตร์ แต่ขึ้นตรงกับสำนักงานอธิการบดี (อาจจะยกเว้นสาธิตมอดินแดงของ มข.)

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีศูนย์กลางการบริหารงานตั้งอยู่ที่ ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม มีพื้นที่ประมาณ 1,300 ไร่ ที่ตั้งเดิม ซึ่งตั้งอยู่ที่ 269 ถนนนครสวรรค์ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม

บนพื้นที่ 197 ไร่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีกำเนิดมาจากวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2511 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะขยายการศึกษาชั้นสูงไปสู่ภูมิภาค ต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม เมื่อปีพุทธศักราช 2517 และได้แยกตัวเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศภายใต้ชื่อ “มหาวิทยาลัยมหาสารคาม” เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2537 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติ ของมหาวิทยาลัย ซึ่งได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 111 ตอนที่ 54 ก นับเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งที่ 22 ของ ประเทศไทย

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เรื่องเล่าน่ารู้น่าสนใจเกี่ยวกับ มมส.

เชื่อหรือไม่?

ที่มา ภาพบรรยากาศ พิธีบายศรีสู่ขวัญ ผูกแขนรับขวัญน้องใหม่ ม.มหาสารคาม

ความเชื่อ

ซอยหนองไผ่ : ซอยหนองไผ่เดิมทีเป็นทางเกวียนเล็กๆ ใช้สำหรับลำเลียงศพเพื่อนำไปฝังที่กลางป่าช้า ซึ่งปัจจุบันป่าช้าได้ถูกถางออกปรับเปลี่ยนเป็นแปลงปลูกหม่อนข้างๆ คอนโดอาจารย์ ตามคติความเชื่อของคนภาคอีสาน เด็กที่ยังอายุไม่ถึง 12 ปี จะถูกนำไปไว้ที่นั่น ส่วนศพที่ต้องการไปเผา ก็จะนำไปเผาที่เชิงตะกอนชายป่าช้า เป็นที่ตั้งของ อบต.ขามเรียง ทุกวันนี้ซอยหนองไผ่ อยู่ตรงบริเวณข้างร้านซ้อมมอเตอร์ไซค์โพธิ์ฯ จากปากซอยจนไปถึงหอหลังแรกของซอยมีระยะทางประมาณเกือบ 200 เมตร จากทางเข้าด้านซ้ายมือจะเป็นหนองน้ำ ส่วนด้านขวามือจะเป็นป่าละเมาะ เรื่องที่จะเตือนต่อไปนี้ จะเป็นเรื่องของ 200 เมตร ที่จะชี้ชะตาคุณว่าถ้าคุณไม่ปฏิบัติตามคำเตือน คุณจะพบกับอะไรบ้าง *หมายเหตุเกิดจากเรื่องจริง ที่ผู้รวบรวมได้พบกับตัวเอง และบางเรื่องมีผู้อื่นเล่าให้ฟัง โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หรือคุณอยากลองของก็เรื่องของคุณ

เขาว่ากันว่านาฬิกาตีบอกตี 3 เรื่องที่ 1

เนื่องจากซอยหนองไผ่เป็นทางสามเเพร่ง เส้นทางเข้าซอยอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ถ้าคุณหันกลับไปข้างหลังก็จะกลายเป็นทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งทางศาสตร์ฮวงจุ้ยแล้วเป็นทิศของการดึงดูดวิญญาณผู้ตายไปยังนรกภูมิ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับนิสิตผู้หนึ่ง ซึ่งมาสังสรรค์กับเพื่อนที่หอในซอยหนองไผ่ เมื่อเหล้าหมดนิสิตผู้นี้ได้อาสาออกไปซื้อเหล้า ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเกือบตี3 เมื่อซื้อเหล้าเรียบร้อยแล้วนิสิตผู้นี้ได้ขี่มอเตอไซค์กลับเข้ามาในซอยหนองไผ่ ปรากฏว่านาฬิกาในโรงเรียนท่าขอนยางซึ่งอยู่ติดกับหนองไผ่ตีดังบอกเวลาตี3 พอดี จากนั้นมีลมปะทะจากด้านหลังพัดใส่นิสิตคนดังกล่าว ทำให้นิสิตคนนี้ตกใจหันกลับไปมองด้านหลัง ปรากฏว่าว่านิสิตผู้นี้พบกับโลกอีกมิติหนึ่ง นั้นก็คือนรกภูมิ เขาเห็นวิญญาณพยายามดึงรั้งตัวเขาไว้ เหมือนกับวิญญาณพยายามหาที่ยึดเกาะไม่ให้ถูกนรกดูดกลืนเข้าไป เบียร์ที่ซื้อไว้ตกแตกกระจายอยู่ข้างทาง

จนกระทั่งนาฬิกาตีบอกเวลาเงียบลง ทุกอย่างจึงกลับเป็นเหมือนเดิมเขากลัวมาก จึงรีบกลับไปหาเพื่อนที่หอ แล้วเล่าให้เพื่อนฟัง พวกเพื่อนๆ ก็นึกว่าเขาเมาแล้วคิดไปเอง แต่สิ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันก็คือ รอยกรีดเบาะรถที่คล้ายรอยเล็บที่มีคนมาขูดเต็มเบาะรถของเขา บทสรุปคือ พอรุ่งเช้าเขารีบนำรถไปเปลี่ยนเบาะที่ร้านโพธิฯ หน้าปากซอยหนองไผ่ เบาะรถที่โดนเล็บของวิญญาณกรีดเป็นรอย สามารถสังเกตดูได้ภายในร้านจะมีเบาะรถอยู่ 4-5 เบาะ ที่ถูกปิดด้วยเทปกาว ทำให้รู้ว่าไม่ใช่มีคนพึ่งเคยเจอ แต่มีคนเคยเจอเหตุการณีนี้มาแล้วหลายราย ก่อนร้านโพธิ์จะปิดร้านตอนเย็น จะสังเกตเห็นเจ้าของร้านเอาข้าวใส่จานแล้วนำมาไว้ที่เสาไฟฟ้าข้างร้าน แล้วเจ้าของร้านจะเคาะจานใส่ข้าวดังๆ มีคนบอกว่าเจ้าของร้านเปิดร้านบริเวณนี้เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องทำมาค้าขายดี เนื่องจากเป็นบริเวณทางสามแพร่ง มีวิญญาณเร่ร่อนชุกชุม วิญญาณเหล่านี้ต้องคอยเกาะรถที่สัญจรไปมาเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกดูดลงนรก เป็นผลให้รถมอเตอร์ไซค์ที่มาในย่านนี้ มีเหตุต้องเสียบ่อยๆ จากการกระทำของวิญญาณ หรือไม่งั้นเจ้าของร้านอาจเลี้ยงผีไว้พังรถ ห้ามเข้ามาในซอยหนองไผ่ในตอนใกล้จะตีสาม ไม่งั้นคุณได้เสียเงินเปลี่ยนเบาะรถใหม่แน่ๆ

เขาว่ากันว่า อย่าผิวปากตอนกลางคืน เรื่องที่ 2

เรื่องนี้เกิดขึ้น ตอนตี 2 มีนิสิตชายคนหนึ่งกำลังขี่รถเข้ามาในซอยหนองไผ่ เพื่อนำงานมาให้เพื่อน ด้วยความเงียบและมืดของซอย ทำให้เขาผิวปากแก้กลัว แต่หารู้ไม่ว่า การผิวปากเป็นการส่งสัญญาณให้ผีและวิญญาณปรากฏตัวให้เห็นได้อย่างง่ายดาย เมื่อเขาขี่รถเกือบจะถึงหอหลังแรกของซอยอยู่แล้ว กลับต้องเจอกับใครหรือสิ่งใดไม่รู้ ซ้อนท้ายแล้วปิดตาเขาไว้ ทำให้รถเสียหลักล้ม เขาล้มลงไปบนพื้น โชคดีที่เหมือนมีแสงไฟรถตามมาข้างหลัง แต่แสงนั้นกลับเป็นดวงไฟขนาดเท่าลูกมะพร้าวบินผ่านเขาไป เขากลัวสุดขีดรีบวิ่งโดยที่ไม่สนใจรถที่ล้มอยู่ รีบวิ่งไปหาแสงสว่างที่ 3 แยก หอหลังแรก แต่หารู้ไม่ว่าแยกอีกแยกภายในซอยหนองไผ่นี้ก็เป็นทางสามแพร่งเหมือนกัน ซึ่งเป็นทางขึ้นของพวกพรายน้ำหรือพวกทางผ่านของภูมิเจ้าที่ เขาพบกับผีพรายขึ้นจากหนองไผ่ เป็นคนตัวสีเขียวผมยาวโบกมือแล้วชี้ทางให้เขาวิ่งไปทางร้านอาหารภายในซอย แต่ดูเหมือนว่าดวงไฟที่เขาเจอเมื่อกี้ก็ตามเขามาด้วย เขารีบวิ่งจนไปเจอฝูงหมาบริเวณร้านอาหาร หมาเห่าใส่เขา ทำให้เขาได้สติแล้วสวดมนต์อิติปิโส จากนั้นดวงไฟได้ลอยหายไปในป่าไผ่ข้างหนอง บทสรุป ด้วยเหตุนี้ซอยหนองไผ่จึงได้ติดไฟตลอดทั้งซอย เพราะมีคนร้องเรียนว่าเจอเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติ ถ้าคุณสังเกตดีๆ จะเห็นรอยไหม้ทั่วบริเวณป่าไผ่ แต่เป็นรอยไหม้เป็นหย่อมๆ แล้วใครจะเข้าไปจุดเล่นในป่าไผ่ทึบที่มีหนามหล่ะ แน่นอนเวลาผิวปากต้องเลือกสถานที่ด้วย อันนี้ก็แล้วแต่คุณ

เขาว่ากันว่า โคมลอยทวนลม เรื่องที่ 3

เมื่อใกล้ช่วงออกพรรษา หนุ่มสาวชาวมอนิยมซื้อโคมสำเร็จรูปมาลอยเล่น ถ้าเรามองดูโคมส่องประกายแสงบนท้องฟ้าก็ดูสวยดี แต่ถ้าหากลอยอยู่เหนือบริเวณซอยหนองไผ่ล่ะ มันจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องต่อไปนี้มีพยานรู้เห็น ถึง 5 คน คือกลุ่มนักศึกษาที่กลับมาจากดูหนัง เวลาประมาณเกือบตี 2 ทั้งกลุ่มมี ชาย 3 หญิง 2 ขี่รถมา 3 คัน พวกเขาเห็นโคม ลอยอยู่บนฟ้าส่งแสงกระพริบในตอนที่ลมแรง เมื่อโคมลอยผ่านหัวของกลุ่มพวกเขากลับมีสิ่งหนึ่งตกลงมา พวกเขาตกใจนึกว่าเป็นสะเก็ดของลุกไฟที่ใช้ใส่โคม จึงหยุดรถแล้วดูว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ปรากฏว่า สิ่งที่นึกว่าเป็นสะเก็ดไฟกลับมีกลิ่นคล้ายมูลสุนัข เมื่อพวกเขามองกลับไปยังโคม โคมที่นึกไว้ในตอนแรก แต่เมื่อมองดีๆแล้วกลับเป็นหัวคน ที่ท่อนล่างมีไส้ เห็นได้อย่างชัดเจนบินผ่านไป

เขาว่ากันว่า…… เชือกที่ไม่อยากเจอ เรื่องที่ 4

เอาล่ะครับเข้ามาในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผมมีส่วนรู้เห็นแต่ก็ไม่ได้เจอกับตัว คงเคยได้ยินว่าหอแรกที่อยู่ในซอยหนองไผ่มีคนผูกคอตายนะครับ ผมเองก็อยู่หอนี้เช่นเดียวกัน แต่เรื่องนี้คนที่เจอเป็นเพื่อนผมเอง หลังจากคนที่ตาย ตายได้เกือบเดือน สิ่งที่เป็นเรื่องน่าสงสัยคือ เชือกที่ใช้ผูกคอนั้นหายไปไหน……….จนกระทั่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพื่อนผมกลับมาจากห้องซ้อมดนตรี ตอนตี 3 เขาสังเกตเห็นเชือกเส้นหนึ่งผูกโยงกับเสาไฟฟ้า เชือกมัดเป็นบ่วงไว้ เขาก็ไม่ได้คิดอะไร วันต่อมาเวลาเดียวกัน เขาก็สังเกตว่าไม่มีเชือกเหมือนเมื่อวาน แล้วผ่านไป11วัน เชือกเส้นนั้นก็ได้ปรากฏให้เขาเห็นอีก เขาสังเกตุว่า ก่อนวันพระ 1 วันเชือกเส้นนั้นจะออกมาให้เห็น เพื่อนผมก็ไม่กล้าออกมาจากหอในวันก่อนที่จะถึงวันพระอีกเลย

บทสรุป เชือกเส้นนี้หลังจากเกิดเหตุ คนที่มาเคลียพื้นที่ ก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าว่าเชือกนั้นหายไปไหนผมเองถึงแม้ว่าจะรู้วันที่เชือกจะปรากฏให้เห็นผมเองก็ไม่ไม่กล้ามองดูเช่นเดียวกัน จะมีเสาไฟฟ้าต้นหนึ่งข้างหอผมที่ไม่ได้ติดหลอดไฟ เสาต้นนั้นแหละครับ ผมก็ไม่รู้ว่าเชือกเส้นนั้นมันตามหาเจ้าของหรือเปล่า หรือว่ามันจะหาคนรายต่อ
ของกิน

หาของกินจากตลาดน้อย และท่าขอนยาง

เกือบทุกคนที่อยู่หอ ม.ใหม่ จะรู้จัก ตาหมี่กะทิ และจะต้องเคยกิน เพราะแกจะขี่จักรยานไปขายทุกหอ แล้วก็จะร้องว่า “หมี่กะทิคร้าบ หมี่กะทิ หมี่กะทิคร้าบ” (แต่ว่าตอนนี้แกโดนรถชนตายแล้วนะ ตอนนี้ใครได้ยินแปลว่า…)
ส้มตำ ลาบ ก้อย อาหารอีสาน อร่อยและถูกที่สุด อยู่ที่ร้านป้าตรงหมู่บ้านขามเรียงขนานนามกันว่า “ร้านไฮโซ” มีบางคนเรียกว่า ลาบ 120 ด้วย

ณ มหาสารคาม มีร้านอาการไฮโซสุดหรูเทียบเท่าเมืองเชียงใหม่และพัทยาทั้งราคาและคุณภาพ …Lighthouse Pub&Restaurant…ณ ร้านนี้เอง ที่ทำให้นิสิตการโรงแรมต้องฝ่าด่านอรหันต์ในการเรียนด้านไวน์จากสถานที่จริง พร้อมทั้งเสียเงินจริง…555+ (ว่ากันว่าหรูหรา สวยงามที่สุด ในบรรดาจังหวัดติดๆกันนะ…ขนาดคนจังหวัดใกล้เคียงยังต้องมาทานเลย)

ข้อมูลเพิ่มเติม FB : Mahasarakham University

ภาพมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

ที่มา : it.msu.ac.th

บทความแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง