น้องๆ เคยนับกันบ้างหรือเปล่าว่าตั้งแต่เราเรียนมานั้น เราได้สอบอะไรกันบ้าง… ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา และระดับมหาวิทยาลัย โดยการสอบที่น้องๆ มักจะได้ยินกันบ่อยในช่วงที่กำลังจะสอบเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ได้แก่ O-NET, GAT/PAT และ 9 วิชาสามัญ ซึ่งเป็นการสอบที่น้องๆ ทุกคนจะต้องเคยผ่านกันมาแล้วอย่างแน่นอน แต่นอกจากการสอบทั้ง 3 ตัวนี้ ยังมีการสอบแบบอื่นๆ ที่น้องๆ จะต้องเจอกันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสอบวัดความรู้ทางด้านภาษา เพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ หรือจะเป็นการสอบความถนัดทางด้านการแพทย์ ฯลฯ
การสอบของเด็กไทย เกี่ยวกับการสอบเข้าเรียนต่อ ในมหาวิทยาลัยต่างๆ
ในบทความนี้ แคมปัส-สตาร์ ได้รวบรวมการสอบที่เด็กไทย (เกือบทุกคน) จะต้องเคยผ่านกันมาแล้วให้มาดูกันด้วย สำหรับน้องๆ คนไหนที่กำลังรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าเราจะต้องอะไรบ้างในการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต้องมาดูกันเลย… จะได้เตรียมตัวกันได้ถูกนะจ๊ะ
1. O-NET
O-NET (Ordinary National Educational Test) เป็นการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน จัดสอบโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ หรือ สทศ. ซึ่งเป็นการจัดสอบสำหรับนักเรียนชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 (ที่จะต้องใช้คะแนน O-NET เป็นส่วนหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย) เพื่อวัดความรู้และความคิดของนักเรียน ประเมินตามมาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จำนวน 51 มาตรฐานการเรียนรู้ โดยครอบคลุม 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่
- วิชาภาษาไทย
- คณิตศาสตร์
- วิทยาศาสตร์
- สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
- ภาษาอังกฤษ
. . . . .
2. GAT
GAT (General Aptitude Test) เป็นการทดสอบวิชาความถนัดทั่วไป เพื่อเป็นการวัดศักยภาพในการเรียนในมหาวิทยาลัยให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นคะแนนที่น้องๆ ม.6 จะต้องยื่นสมัคร TCAS ตั้งแต่รอบที่ 2 เป็นต้นไป โดยได้มีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- ความสามารถในการอ่าน/การเขียน/การคิดเชิงวิเคราะห์/และการแก้โจทย์ปัญหา
- ความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย Speaking and Conversation, Vocabulary, Structure and Writing และ Reading Comprehension
. . . . .
3. PAT
PAT (Professional and Academic Aptitude Test) เป็นการทดสอบวิชาความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ คือ การวัดความรู้ที่เป็นพื้นฐานกับศักยภาพที่จะเรียนในวิชาชีพนั้นๆ ให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นการทดสอบสำหรับน้องๆ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่จะยื่นสมัคร TCAS ตั้งแต่รอบที่ 2 เป็นต้นไป โดยที่น้องๆ ไม่จำเป็นจะต้องสอบให้ครบทุกวิชา แต่เลือกสอบเฉพาะวิชาที่ใช้ในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในคณะ/สาขาวิชาที่เราต้องการเข้าเรียนต่อก็พอ ทั้งนี้ได้มีการแบ่งออกเป็น 7 วิชา ได้แก่
- PAT 1 คือ ความถนัดทางคณิตศาสตร์
- PAT 2 คือ ความถนัดทางวิทยาศาสตร์
- PAT 3 คือ ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์
- PAT 4 คือ ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
- PAT 5 คือ ความถนัดทางวิชาชีพครู
- PAT 6 คือ ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์
- PAT 7 คือ ความถนัดทางภาษาต่างประเทศ ประกอบด้วย PAT 7.1 ความถนัดทางภาษาฝรั่งเศส, PAT 7.2 ความถนัดทางภาษาเยอรมัน, PAT 7.3 ความถนัดทางภาษาญี่ปุ่น, PAT 7.4 ความถนัดทางภาษาจีน, PAT 7.5 ความถนัดทางภาษาอาหรับ, PAT 7.6 ความถนัดทางภาษาบาลี และ PAT 7.7 ความถนัดทางภาษาเกาหลี
. . . . .
แจกแต้ม #PAT2 บอกเลยข้อนี้ออกทุกปี!!
4. 9 วิชาสามัญ
9 วิชาสามัญ เป็นข้อสอบกลางที่จัดสอบโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ หรือ สทศ. เพื่อใช้ในการรับตรงเข้ามหาวิทยาลัย สำหรับนักเรียนในสายวิทย์และสายศิลป์ (แต่น้องๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องสมัครสอบให้ครบทั้ง 9 วิชา ให้เลือกสอบเพียงวิชาที่ใช้ในการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยตามคณะ/สาขาวิชาที่ได้กำหนดเอาไว้) วิชาที่ใช้สอบมีดังต่อไปนี้
- วิชาภาษาไทย
- วิชาสังคมศึกษา
- วิชาภาษาอังกฤษ
- วิชาคณิตศาสตร์ 1
- วิชาฟิสิกส์
- วิชาเคมี
- วิชาชีววิทยา
- วิชาคณิตศาสตร์ 2 (สายศิลป์)
- วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (สายศิลป์)
. . . . .
5. วิชาความถนัดแพทย์
วิชาเฉพาะ หรือวิชาความถนัดแพทย์ เป็นวิชาที่สมัครสอบพร้อมกับการสอบ กสพท สำหรับน้องๆ ที่ต้องการยื่นสมัคร กสพท ในรอบที่ 3 ของระบบ TCAS จะต้องสมัครวิชาความถนัดแพทย์ โดยการสอบวิชาความถนัดแพทย์มีสัดส่วนคะแนนอยู่ที่ 30% และแบ่งออกเป็น 3 ด้านในการสอบ ได้แก่
- ด้านเชาว์ปัญญา เช่น คณิตศาสตร์ อนุกรมเลข อนุกรมภาพ การอ่านจับใจความ เป็นต้น
- ด้านจริยธรรมทางการแพทย์ (ซึ่งไม่มีสอนในห้องเรียน)
- ด้านทักษะการเชื่อมโยง คล้ายๆ กับการสอบ GAT แต่ก็ยังมีบางส่วนที่มีความแตกต่างอยู่ด้วย
. . . . .
EP.3 ออกชัวร์100% กับ 8 เนื้อหาที่ต้องรู้! พิชิต 9 วิชาและ PAT2
6. BMAT
BMAT เรียกเต็มๆ ว่า Biomedical admission test เป็นข้อสอบเฉพาะทางสำหรับน้องๆ ที่ต้องการเข้าศึกษาต่อในสาขาการแพทย์ สัตวแพทย์ ซึ่งจัดสอบโดย Cambridge Assessment แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งถือได้ว่าเป็นข้อสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร แต่สาเหตุที่ถูกพูดถึงอยู่ในประเทศไทยบ่อยๆ นั้นก็เพราะว่าในช่วงที่ผ่านมาหลักสูตรทางด้านการแพทย์ของประเทศไทย ได้มีการทำข้อตกลงว่าจะใช้ข้อสอบ BMAT ในการรับนักศึกษาแพทย์ใหม่ นั่นเอง เช่น วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (CICM) ซึ่งเป็นหลักสูตรแพทยศาสตร์ อินเตอร์ ที่ได้มีการประกาศว่านักศึกษาใหม่จะต้องผ่านการสอบ BMAT, คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ได้เปิดรับผลคะแนนสอบ BMAT เหมือนกัน เป็นตัน
นอกจากนี้น้องๆ ยังต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติมในรอบการเปิดรับสมัครของระบบ TCAS ด้วยว่ามีการใช้คะแนน BMAT หรือไม่ และการสอบ BMAT ใช้เวลาในการทำข้อสอบทั้งหมด 2 ชั่วโมง โดยได้มีการแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
- ความถนัดและทักษะ 60 นาที (ข้อสอบปรนัย)
- ความรู้และการประยุกต์ใช้ด้านวิทยาศาสตร์ 30 นาที (ข้อสอบปรนัย)
- งานเขียน 30 นาที (ข้อสอบบรรยาย)
. . . . .
7. SAT
SAT หรือมีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า Scholastic Assessment Tests เป็นข้อสอบมาตรฐานที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงบางหลักสูตรในประเทศไทยใช้ประกอบการสมัครเข้าเรียนระดับปริญญาตรี เพียงแต่ไม่ได้วัดที่ความรู้วิชาต่างๆ แต่เป็นการวัดทักษะ (Skills) การใช้เหตุผล เหมือนข้อสอบความถนัดทั่วไป (GAT) สำหรับการสอบ SAT จะสอบในตอนที่น้องๆ สมัคร TCAS รอบที่ 1 (ในบางโครงการ) และหลักสูตรนานาชาติในรอบอื่นๆ SAT ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่
- Critical Reading
- Mathematics
- Writing
. . . . .
เรียน Pronoun ใน 7 นาที ง่ายขนาดนี้เลยหรอ??
8. SAT II
SAT II มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า SAT Subject Test เป็นการสอบวิชาเฉพาะทางที่จำเป็นในการสมัครสอบคัดเลือกเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย (อินเตอร์) ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยได้มีการแบ่งการสอบออกเป็น 3 วิชาทางด้านวิทยาศาสตร์ ได้แก่ วิชาเคมี วิชาฟิสิกส์ และวิชาชีววิทยา
. . . . .
9. ACT
ACT หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า American College Testing เป็นการสอบวัดระดับทักษะในการใช้เหตุผล การคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหา และการสื่อสารที่จำเป็นสำหรับการเรียนระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย แต่โดยทั่วไปแล้ว ผลคะแนนสอบ ACT ยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายเหมือนกับผลคะแนนสอบ SAT ซึ่งเป็นที่ยอมรับในเกือบทุกหลักสูตร โดยที่ข้อสอบ ACT มีคะแนนเต็มทั้งหมด 36 คะแนน จากการทดสอบทั้งหมด 5 ส่วน ได้แก่
- English
- Mathematics
- Reading
- Science Reasoning
- Writing
. . . . .
10. TOEFL
TOEFL หรือ Test of English as a Foreign Language เป็นการทดสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษตามมาตรฐานของภาษาอังกฤษอเมริกัน ซึ่งมีการออกแบบสำหรับใช้ในการประเมินความสามารถทางภาษาของผู้สมัคร เพื่อนำไปใช้เป็นเกณฑ์ในเรื่องของการศึกษาต่อหรือทำงานในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร โดยผลคะแนน TOEFL จะใช้ได้เป็นระยะเวลา 2 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นถ้าต้องการคะแนนอีกก็ต้องทำการสมัครสอบใหม่
ด้วยปัจจุบันในหลายๆ คณะมีการกำเหณฑ์ว่าน้องๆ จะต้องมีผลคะแนนสอบภาษาอังกฤษด้วย เพื่อยื่นรับตรงโดยเฉพาะในระบบ TCAS รอบที่ 1 (บางคณะ/สาขาวิชาจะให้น้องๆ เลือกสอบระหว่าง TOEFL หรือ IELTS) และน้องๆ คนไหนที่ต้องการเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักก็ต้องใช้คะแนนสอบ TOEFL iBT ด้วยเช่นกัน โดยที่การสอบ TOEFL ได้ถูกแบ่งการสอบออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่
- การพูด (Speaking)
- การฟัง (Listening)
- การอ่าน (Reading)
- การเขียน (Writing)
โดยทั่วไปแล้วเราจะมีเวลาในการทำข้อสอบประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งทั้งนี้เราสามารถเลือกได้ด้วยว่าจะทำการสอบแบบ Internet-based Test (iBT) หรือ Paper-based Test (PBT) ขึ้อยู่กับสนามหรือศูนย์ที่จัดสอบว่าสามารถเลือกได้หรือไม่
- TOEFL Internet-based Test (iBT) เป็นการประเมินความสามารถของเราในการอ่าน ฟัง พูด เขียนภาษาอังกฤษ และการใช้ทักษะเหล่านี้ร่วมกัน เช่น เราอาจจะอ่านหรือฟังบรรยายแล้วเขียนหรือพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้ออกมา ฯลฯ
- TOEFL Paper-based Test (PBT) เป็นการประเมินความสามารถของเราในการอ่าน ฟัง และเขียนภาษาอังกฤษ
. . . . .
R กับ L ต่างกันอย่างไร Royal กับ Loyal ภาษาอังกฤษออกเสียงอย่างไร
11. IELTS
IELTS หรือมีชื่อเต็มๆ ว่า International English Language Testing System เป็นการสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน (ฟัง พูด อ่าน เขียน) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยที่เราจะต้องสอบการฟัง การอ่าน และการเขียนในวันเดียวกันทั้งหมดโดยไม่ได้รับอนุญาตให้หลุดพักระหว่างการสอบ ส่วนการสอบพูดอาจจะสอบภายในวันเดียวกันกับการสอบทั้งสามตัวแรก หรือภายใน 7 วันก่อนและหลังจากนั้น (ขึ้นกับทางศูนย์สอบจะทำการกำหนด) โดยการสอบทั้งหมดจะเวลาไม่ 3 ชั่วโมง
ซึ่งในปัจจุบันมีหลายคณะ/สาขาวิชาที่มีข้อกำหนดออกมาว่า คนที่ต้องการเข้าศึกษาต่อในคณะนี้จะต้องมีผลคะแนนสอบภาษาอังกฤษ เพื่อยื่นรับตรงโดยเฉพาะในระบบ TCAS รอบที่ 1 (โดยที่สามารถเลือกสอบได้ว่าจะสอบ TOEFL หรือ IELTS)
. . . . .
12. HSK
HSK หรือมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Hanyu Shuiping Kaoshi หมายถึง การสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีน สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาแม่ การสอบนี้จัดขึ้นโดย The Office of Chinese Language Council International : HANBAN ของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้ที่มีผลคะแนนสอบสูงสุดในแต่ละระดับของศูนย์สอบจะได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลจีน ในการเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศจีนเป็นประจำทุกปี การสอบ HSK แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังต่อไปนี้
- ระดับพื้นฐาน (HSK: Basic) สำหรับผู้ที่ผ่านหลักสูตรการเรียนภาษาจีนมาแล้วราว 100 – 800 ชั่วโมง มีความรู้ในคำศัพท์พื้นฐาน 400 – 3,000 คำ และเข้าใจถึงหลักไวยากรณ์โครงสร้างประโยคขั้นพื้นฐาน
- ระดับต้นและกลาง (HSK: Elementary and intermediate) คือ ระดับผู้ที่ผ่านหลักสูตรการเรียนภาษาจีนราว 400 – 2,000 ชั่วโมง มีความรู้ในคำศัพท์พื้นฐาน 2,000 – 5,000 คำ
- ระดับสูง (HSK: Advanced) คือ ระดับผู้ที่ผ่านหลักสูตรการเรียนภาษาจีนมาแล้ว ตั้งแต่ 3,000 คาบขึ้นไป มีความรู้ในศัพท์กว่า 5,000 คำ เข้าใจไวยากรณ์โครงสร้างทางภาษาในรูปประโยคที่ซับซ้อน
. . . . .
13. JLPT
JLPT มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Japanese Language Proficiency Test เป็นการสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นในแต่ละด้านและความสามารถในการสื่อสารของผู้เรียนในสถานการณ์จริง ทั้งการพูด การฟัง การอ่านและเขียน มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นของชาวต่างชาติผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นการสอบภายในประเทศญี่ปุ่นจัดโดยสมาคมสนับสนุนการศึกษานานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น (JEES) โดยจัดสอบในหลายจังหวัดที่ประเทศญี่ปุ่น ส่วนนอกประเทศญี่ปุ่นนั้น มูลนิธิญี่ปุ่น (Japan Foundation) เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดสอบ แบ่งผลการสอบออกเป็น 5 ระดับ และจัดสอบปีละ 2 ครั้ง ในสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคมและเดือนธันวาคม สำหรับน้องๆ คนไหนที่ต้องการขอรับทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น จะต้องทำการสอบวัดรับความสามารถทางด้านภาษาญี่ปุ่นเสียก่อน
. . . . .
ภาษาญี่ปุ่นที่มีเสียงคล้ายภาษาไทย ! (คนญี่ปุ่นพูดไทย)
14. TOPIK
TOPIK ย่อมาจากคำว่า Test Of Proficiency In Korean เป็นการทดสอบความสามารถทางภาษาเกาหลีของชาวต่างชาติ โดยเป็นการสอบเพื่อวัดพื้นฐานหรือความสามารถทางภาษาเกาหลีของผู้ที่ไม่ใช้ภาษาเกาหลีเป็นพื้นฐาน ชาวเกาหลีที่อยู่ต่างแดน ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศเกาหลี ผู้เรียนภาษาเกาหลี นักเรียนต่างชาติที่สนใจเรียนที่เกาหลี บุคคลที่สนใจทำงานในประเทศ หรือต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับประเทศเกาหลี สำหรับการสอบ TOPIK ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. การทดสอบความสามารถทางภาษาเกาหลีทั่วไป (The Standard TOPIK)
เป็นการสอบเพื่อวัดระดับความสามารถในการใช้ภาษาเกาหลีทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวัน ที่จำเป็นต่อความเข้าใจถึงวัฒนธรรมเกาหลีและการศึกษาต่อ เป็นต้น หรือที่ในหมู่นักเรียนที่เรียนภาษาเกาหลีเรียกกันว่าการสอบ “กึบ” หรือ ระดับนั่นเอง ผู้เข้าสอบสามารถเลือกเข้าสอบตามระดับชั้นที่เหมาะสมกับความสามารถของตน โดยจะมีการเปิดให้สมัครสอบ 3 ช่วงชั้นด้วยกัน คือ ชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นสูง
2. การทดสอบความสามารถทางภาษาเกาหลีเชิงธุรกิจ (The Business TOPIK)
เป็นการสอบเพื่อวัดระดับความสามารถในการใช้ภาษาเกาหลี เพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันและที่จำเป็นต่อการทำงานในสถานประกอบการเกาหลี ซึ่งจัดทำขึ้นสำหรับผู้ที่มีความประสงค์จะทำงานในประเทศเกาหลี การสอบ TOPIK ประเภทนี้ไม่มีการให้เกรดว่ามีความสามารถทางภาษาอยู่ในระดับใด หรือการประเมินผลว่าสอบตก-สอบผ่านใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงแต่การตรวจให้คะแนน และให้ผู้สอบนำผลคะแนนไปใช้ในการสมัครงานเท่านั้น โดยคะแนนเต็มของการสอบ TOPIK ประเภทนี้ คือ 400 คะแนน
. . . . .
อ้างอิงข้อมูลจาก : www.niets.or.th, www.aims.co.th, www.adviceforyou.co.th, www.idp.com, www.devserv.phuket.psu.ac.th,
www.edupac-lemonde.com, www.admissionpremium.com, http://education.thaiembassy.jp
บทความที่น่าสนใจ
- ข้อสอบ 9 วิชาสามัญ ปี 2555-2559 พร้อมเฉลย | คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี อังกฤษ ฯลฯ
- สรุปการสอบ O-NET, GAT/PAT, 9 วิชาสามัญ, กสพท คืออะไร? ต้องสอบอะไรบ้าง?
- รวมข้อสอบ O-NET ปี 2558 พร้อมเฉลย! ของ ป.6 ม.3 และ ม.6
- รวมข้อสอบโอเน็ต ปี 2559 พร้อมเฉลย ป.6 ม.3 และ ม.6 โหลดเก็บไว้ฝึกกันเลย
- O-NET ต้องสอบวิชาอะไรบ้าง? มีความสำคัญอย่างไรกับเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย
- คณะโบราณคดี เรียนอะไรบ้าง? จบแล้วทำงานอะไรได้บ้าง?