การจัดอันดับ เมืองน่าอยู่ เรียนต่อต่างประเทศ

10 อันดับเมืองที่ดีที่สุด สำหรับนักศึกษาไทย ที่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศ

Home / ข่าวการศึกษา / 10 อันดับเมืองที่ดีที่สุด สำหรับนักศึกษาไทย ที่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศ

เรามักจะได้เห็นการจัดอันดับเกี่ยวกับการศึกษาของแต่ละเมือง แต่ละประเทศ จากทั่วโลกกันอยู่บ่อยครั้ง โดยอาศัยปัจจัยหลายๆ ด้านเข้ามาช่วยในการจัดอันดับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณภาพทางด้านการศึกษา ระบบการเรียนการสอน ค่าครองชีพ ฯลฯ แต่ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความคิดเห็นและประสบการณ์จริงของเหล่านักเรียน นักศึกษา ที่เคยไปศึกษาหรือกำลังศึกษาอยู่ ในการไปใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่นั้นๆ วันนี้ แคมปัส-สตาร์ เลยขอนำ 10 อันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดและผู้คนเป็นมิตรที่สุดในโลก จากการโหวตของเหล่านักเรียน นักศึกษากว่า 18,000 คน

10 เมืองเป็นมิตร น่าอยู่ สำหรับ นศ.ไทย

โดยมีเกณฑ์ที่ใช้ในการโหวตครั้งนี้ 8 หัวข้อด้วยกัน ได้แก่ ศิลปะและวัฒนธรรม ค่าครองชีพ ชีวิตกลางคืน โอกาสในการทำงาน ความหลากหลาย ความยากง่ายในการเดินทาง ความเป็นมิตรของผู้คน และหากมีโอกาสจะอยู่ต่อหรือไม่หลังเรียนจบ และนี่คือ 10 อันดับเมืองที่ได้รับผลโหวตมากที่สุด ในปี 2016-2017

เมืองไทเป (Taipei) : ประเทศไต้หวัน

10. เมืองไทเป (Taipei) : ประเทศไต้หวัน

ไทเป เป็นเมืองหลวงของประเทศไต้หวัน หรือชื่ออย่างเป็นทางการเรียกว่า “สาธารณรัฐจีน” สำหรับเมืองไทเปได้รับคะแนนสูงสุดในเรื่องของความเป็นมิตร และค่าครองชีพที่ไม่สูง การเดินทางสะดวก มีระบบการคมนาคมขนส่งที่ดี และอาหารอร่อย

** สำหรับอันดับ 8 : มี 2 ประเทศที่ติดอันดับร่วมกัน ได้แก่

เกียวโต (Kyoto), โอซาก้า (Osaka) และโกเบ (Kobe) : ประเทศญี่ปุ่น

8. เกียวโต (Kyoto), โอซาก้า (Osaka) และโกเบ (Kobe) : ประเทศญี่ปุ่น

โดยทั้งสามเมืองนี้ ได้ถูกจัดให้อยู่รวมกัน เป็นเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เรียกว่า “Keihanshin” มีประชากรมากกว่า 19 ล้านคน ทั้งสามเมืองนี้มีความน่าสนใจในหลากหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น มีการเดินทางที่สะดวกสบาย มีความสมดุลย์ระหว่างชีวิตในเมืองและธรรมชาติรอบตัว มีประวัติศาสตร์และประเพณีที่น่าศึกษา ขณะเดียวกันการมีการดำเนินชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ เรียกได้ว่าเป็นเมืองในประเทศญี่ปุ่นที่ทั้งน่าไปเรียนและน่าอยู่เป็นที่สุด

เมืองโซล (Seoul) : ประเทศเกาหลีใต้

8. เมืองโซล (Seoul) : ประเทศเกาหลีใต้

โซล หรือชื่ออย่างเป็นทางการเรียกว่า “นครพิเศษโซล” เป็นเมืองหลวงและมหานครที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเกาหลีใต้ ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นเมืองที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง 7 วัน แถมยังมีศิลปะวัฒนธรรมที่น่าดึงดูด มีความหลากหลายในวัฒนธรรม มีความสะดวกและปลอดภัย นักศึกษาจำนวนไม่น้อยบอกว่า “เมื่อเรียนจบแล้วอยากจะใช้ชิวิตที่นี่ต่อ”

 เมืองบอสตัน (Boston) : ประเทศสหรัฐอเมริกา

7. เมืองบอสตัน (Boston) : ประเทศสหรัฐอเมริกา

บอสตัน เป็นเมืองหลวงของรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตนิวอิงแลนด์ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 4.6 ล้านคน บอสตันเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุด มั่งคั่งที่สุด ซึ่งถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีนักศึกษาเดินทางมาเรียนต่อเป็นจำนวนมาก ด้วยความที่เป็นเมืองที่อยู่สบาย มีศิลปะวัฒนธรรมที่สวยงาม มีสภาพแวดล้อมที่ดี และยังเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาที่สำคัญแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยกว่า 100 แห่ง โดยเฉพาะ “มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด” ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

** สำหรับอันดับ 4 : มี 3 ประเทศที่ติดอันดับร่วมกัน ได้แก่ 

เมืองนอตทิงแฮม (Nottingham) : ประเทศอังกฤษ

4. เมืองนอตทิงแฮม (Nottingham) : ประเทศอังกฤษ

เมืองนอตทิงแฮม เป็นนครและเมืองหลวงของมณฑลนอตทิงแฮมเชอร์ ในภาคการปกครองเวสต์มิดแลนส์ตะวันออกของประเทศอังกฤษ และเป็นหนึ่งในกลุ่มเมืองใหญ่หลักของประเทศอังกฤษ และยังได้รับการจัดอันดับว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่มากแห่งหนึ่งอีกด้วย ผู้คนในเมืองนอตทิงแฮมมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย มีศิลปะวัฒนธรรมที่หลากหลาย ซึ่งนักศึกษาส่วนกล่าวว่า “ที่นี่เป็นเมืองแห่งการศึกษา มีพื้นที่สีเขียว มีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำในยามค่ำคืน และเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ของประเทศอังกฤษ ที่นี่ถือว่ามีค่าครองชีพไม่สูงมากนัก”

เมืองมอนทรีออล (Montreal) : ประเทศแคนนาดา

4. เมืองมอนทรีออล (Montreal) : ประเทศแคนนาดา

เมืองมอนทรีออล เดิมมีชื่อว่า วีล-มารี (Ville-Marie : เมืองของมารี) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตการปกครองของรัฐควิเบก และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศแคนาดา ซึ่งเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่มีหลากหลายวัฒนธรรม ผู้คนมีความเป็นมิตร ค่าครองชีพไม่สูงมาก มีสภาพแวดล้อมที่ดี และยังมีอาหารให้เราได้เลือกรับประทานอย่างหลากหลาย จึงได้รับการโหวตจากนักศึกษาว่าเป็นอีกเมืองที่มีผู้คนเป็นมิตร น่าอยู่อาศัย และน่าไปเรียนต่อมากอีกหนึ่งแห่ง

เมืองเบอร์โน (Brno) : สาธารณรัฐเช็ก

4. เมืองเบอร์โน (Brno) : สาธารณรัฐเช็ก

เมืองเบอร์โน เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศเช็กเกีย หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า “สาธารณรัฐเช็ก” (รองจากกรุงปราก เมืองหลวงของประเทศ) มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 405,337 คน เมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่มีชื่ออย่างมหาวิทยาลัยมาซารึกและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบอร์โน แถมยังเป็นเมืองที่เดินทางสะดวกมากๆ ค่าครองชีพก็อยู่ในระดับที่ไม่แพงมากจนเกินไป สถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนก็ได้รับการจัดอันดับความพอใจอยู่ในระดับต้นๆ ผู้คนที่นี่ก็มีความเป็นมิตร น่ารักมากๆ นอกจากนี้ Villa Tugendhat ในเมืองเบอร์โน ยังได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย

เมืองเซี่ยงไฮ้ หรือ เมืองช่างไห่ (Shanghai) : ประเทศจีน

3. เมืองเซี่ยงไฮ้ หรือ เมืองช่างไห่ (Shanghai) : ประเทศจีน

เซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน แถมยังมีการเดินทางที่สะดวกสบายมากๆ ผู้คนที่นี้ก็เป็นมิตร รวมทั้งยังมีศิลปะวัฒนธรรมที่น่าสนใจให้เราได้เรียนรู้กันอย่างหลากหลายอย่างเลยทีเดียว และเป็นเมืองที่เราจะได้พบกับผู้คนที่หลากหลายมาจากหลายประเทศทั่วโลก (ได้เพื่อนต่างชาติเพิ่มขึ้นแน่นอน)

เมืองปราก (Prague) : สาธารณรัฐเช็ก

2. เมืองปราก (Prague) : สาธารณรัฐเช็ก

เมืองปราก เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 1.2 ล้านคน และเมื่อ ค.ศ. 1992 องค์การยูเนสโก ได้ประกาศให้ “เมืองปรากเป็นมรดกโลก” เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ มีสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ที่สวยงาม มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม อีกทั้งยังมีค่าครองชีพต่ำ นักศึกษาส่วนใหญ่ชอบเพราะว่าเป็นเมืองที่สวย อยู่ใจกลางยุโรป และมีกิจกรรมหลายอย่างที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องของการกิน การดื่ม การเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ฯลฯ

เมืองออตตาวา (Ottawa) : ประเทศแคนาดา

1. เมืองออตตาวา (Ottawa) : ประเทศแคนาดา

สำหรับเมืองออตตาวา เป็นเมืองหลวงของประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับการโหวตจากเหล่านักศึกษามาเป็นอันดับ 1 มีประชากรอาศัยอยู่โดยประมาณ 1.2 ล้านคน ถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ แต่พลเมืองของที่นี้ก็มีความเป็นมิตร มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีสภาพแวดล้อมที่ดี สวยงาม น่าอยู่มากๆ และยังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ อยู่รอบเมืองๆ ให้เราได้ไปศึกษาหาความรู้และพักผ่อนกันด้วย ที่สำคัญเมืองออตตาวายังมีคุณภาพทางด้านการศึกษาอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกอีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้อง : การจัดอันดับมหาวิทยาลัยต่างๆ จากทั่วโลก

ที่มา : www.topuniversities.com