ฟ้า-ปรภัค มารยาตร์ หนึ่งในสาวงามผู้เข้าประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 จากเด็กกลัวครูในห้องเรียน เธอได้เปิดประสบการณ์ตัวเองไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตที่ได้ไปฝึกงานที่สถานทูตอเมริกา ได้ไปใช้ชีวิตเรียนปริญญาโทที่อังกฤษ ทำให้ชีวิตได้เห็นอะไรที่แตกต่างออกไป ได้เห็นปัญหาสังคมหลายอย่าง รวมถึงปัญหาของระบบการศึกษาของไทยด้วย ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอได้มาสมัครเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019
คุยกับ “ฟ้า ปรภัค” – สิทธิมนุษยชน การศึกษาไทย และเงินเดือนครู ปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้
ฟ้า-ปรภัค มารยาตร์ สาวงามวัย 26 ปี หนึ่งในผู้เข้าประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 ปัจจุบันเธอกำลังศึกษาระดับปริญญาโท ที่ Politics – International Security and Global Governance ประเทศอังกฤษ เธอเคยเป็นเด็กขี้อาย ไม่กล้าถามคุณครูในห้องเรียนเพราะกลัวโดนดุ, เคยเรียนทางด้านปรัชญาและศาสนาทำให้ได้แง่ความคิดเรื่องหลักการใช้ชีวิต, เคยฝึกงานกับสถานทูตอเมริกา, เคยทำงานผู้ช่วยลี้ภัย และเรียนปริญญาที่อังกฤษ ทำให้เธอได้เปลี่ยนตัวเอง ได้เปิดประสบการณ์ ได้เห็นถึงปัญหาการศึกษาของไทย เห็นปัญหาสังคมหลาย ๆ อย่าง ที่ควรจะต้องแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องสิทธิมนุษยชน
เริ่มเข้าใจชีวิตจากการเรียน ปรัชญาและศาสนา
ฟ้าเป็นคนชอบเรื่องเกี่ยวกับพวก ปรัชญา ศาสนาอยู่ก่อนแล้ว คุณพ่อฟ้าเคยบวชเป็นพระ พาไปเข้าวัด เรื่องปรัชญา ศาสนา เรื่องข้อคิดต่าง ๆ ทำให้เราได้คลุกคลีอยู่พอสมควร จึงทำให้ฟ้าคิดว่าถ้าได้เรียนเกี่ยวกับปรัชญาน่าจะสนุก ตอนเรียน ป.ตรี เลยเลือกเรียนปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พอได้ไปเรียนจริง ๆ ก็สนุก และพบว่ามีความลึกซึ้งกว่าที่คิดไว้มาก
หลังจากเรียนจบก็ทำให้ได้เรียนรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับแง่ความคิดเรื่องการใช้ชีวิต ทุกอย่างมันหยิบมาเป็นข้อคิดได้หมดเลยนะ สิ่งที่เราเห็นตรงหน้า มันจริงหรือไม่จริง อะไรคือความเชื่อ อะไรคือความจริง ฟ้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ความคิดแต่อยู่เป็นหลักของความเป็นจริง ฟ้าเข้าใจตัวเอง และทำให้เข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น จากนั้นฟ้าก็ได้ไปฝึกงานกับสถานทูตอเมริกา เพราะความฝันของฟ้าคืออยากทำงานร่วมกับคนหลากหลายเชื้อชาติ เลยลองสมัครที่นี่ดู
นักศึกษาหนึ่งเดียวที่ได้รับเลือก ให้ฝึกงานสถานทูตอเมริกา
หลังจากสมัครเข้าฝึกงานที่สถานทูตอเมริกา เขาจะมีให้เราเลือกแผนกที่เราอยากทำก่อน ตอนนั้นฟ้าเลือกเกี่ยวกับการจัดซื้อ โดยหน้าที่หลัก ๆ ก็ เช่น สั่งโปรดักท์จากต่างประเทศเข้ามา และเราคิดว่าน่าสนใจดี เลยลองเลือกดู จากนั้นเขาก็จะคัดเลือกคนที่สมัครทั้งหมดไปสัมภาษณ์ ตอนนั้นคัดเลือกมาทั้งหมด 15 คน และต้องคัดจาก 15 คนให้เหลือเพียง 1 คน ปรากฎว่าเราก็ได้ เขาเลือกเราไปฝึก!! รู้สึกโชคดีมากเลยในตอนนั้น ก็ทำให้เราได้ทำงานกับคนที่หลากหลาย เป็นการทำงานกับองค์กรระหว่างประเทศอย่างที่เราอยากทำ ก็ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ดีมา จากนั้นก็มีโอกาสได้ไปทำงานเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย
คนเราไม่เคารพเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งกันและกัน
หลังจากฝึกงานเสร็จก็ทำงานให้ที่ USAID เป็นองค์กรของสถานทูตอเมริกา ที่ให้ทุนเกี่ยวกับโปรเจคก์ต่างๆ ในประเทศที่เขาอยากพัฒนา เช่น ประเทศไทยอยากมีโครงการพัฒนาสังคม สถานทูตอเมริกาก็จะส่งคนไปดู ถ้าเขาเห็นว่าเวิร์ค ก็จะช่วยลงทุนโปรเจคก์นี้ให้คนไทย เป็นต้น
จากนั้นก็ มีโอกาสได้ทำงานกับผู้ลี้ภัย ทำให้เราเห็นว่าโลกใบนี้ยังมีปัญหาอีกหลายอย่างที่ต้องได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะ เรื่องที่คนเราไม่เคารพเรื่องสิทธิมนุษยชนซึ่งกันและกัน เช่น การที่บางคนมีความเชื่อเรื่องศาสนาที่แตกต่าง แต่เขากลับไม่สามารถอยู่ในสังคมของเขาได้ เพราะไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมนั้นๆ ทั้งๆ ที่ศาสนาก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้คนอื่นนะ แต่เป็นมนุษย์ด้วยกันเองที่สร้างปัญหา และปัญหาเหล่านั้นก็หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาผู้ลี้ภัยมากขึ้นบนโลก
ฟ้าก็เลยรู้สึกว่าเลยอยากจะออกมาเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้ลี้ภัยสู้ต่อไป และก็อยากให้วันนึงเขาไม่ต้องไปอยู่ที่แคมป์ผู้ลี้ภัยแล้ว อยากให้เขาได้รับความช่วยเหลือแล้วก็ออกมามีชีวิตที่ปกติ เพื่อที่เขาจะได้ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงของเขาได้เต็มที่
IG: @farraduck I stand with refugees ❤️ I was blessed.. to work as a social worker.. serve our society to better and once you have seen and know many global conflicts there’s no way that you will want to stop inspiring our society to be better .. ในรูปเป็นภาพตอนวัน Refugee Day.. ปี 2017 ที่มีโอกาสได้ทำเกมส์ให้เด็กลูกๆของผู้ลี้ภัยในกรุงเทพ และปริมณฑล เล่นเกมส์ ทำให้พวกเค้าได้ลืมปัญหาชีวิตที่พบเจอตั้งแต่ยังเล็ก ได้เห็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ของเด็กๆ พวกเราก็ดีใจ
เรียนต่อ ป.โท ที่อังกฤษ เห็นความแตกต่าง ในระบบการศึกษาไทย
ปัจจุบันฟ้ากำลังเรียนต่อระดับปริญญาโทที่ Politics – International Security and Global Governance ประเทศอังกฤษ
ฟ้าชอบการเรียนการสอนที่อังกฤษมาก ต้องบอกว่าถือเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ในชีวิตเลยก็ว่าได้ คือตอนที่เรียนอยู่ไทย เวลาเรียนต้องอ่านหนังสือแล้วต้องจำ จำเพื่อจะได้เขียนคำตอบให้ถูกต้องตามที่คุณครูเฉลย แต่ที่อังกฤษการเรียนของเขาจะเน้นเรฟเฟอร์เรนท์ เวลาคุณตอบคำถามอะไรจะไม่มีว่าถูกหรือผิด แต่เวลาจะตอบอะไรคุณต้องมีข้อมูล มีเหตุผล คุณต้องรู้ว่าใครเป็นคนคิดทฤษฎีนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าเวลาที่เราจะบอกว่าเรารู้อะไรเราต้องรู้ให้จริง ไม่ใช่เขียนความคิดตัวเองลงไปโดยที่ไม่มีเรฟเฟอร์เรนท์ ทำให้เรากลายเป็นคนที่อ่านมากขึ้น เราสามารถตอบข้อสอบได้ว่ามันมีทฤษฎีแบบนี้นะ มาจากใคร คือเขาเน้นให้เราฝึกใช้ความคิด โดยไม่จำกัดกรอบความคิดของเรา
มองกลับมาที่ระบบการศึกษาไทย คุณว่าเรามีอะไรที่ต้องพัฒนา?
การศึกษาไทยเน้นให้เด็กจำมากกว่าคิด เด็กไทยจะกลัวคุณครูมาก กลัวโดนดุ กลัวตอบผิด เวลาที่เด็กคิดหรือจะตอบอะไรที่แตกต่าง เด็กค่อนข้างที่จะไม่กล้า ยกตัวอย่างจากตัวฟ้าเองเลย ตอนที่ฟ้าเรียนประถมฯ ก็จะรู้สึกกลัวคุณครูเหมือนกัน เวลาตอบอะไรก็กลัวผิด กลัวโดนดุ คือเด็กไทยจะมีความขี้อาย จึงคิดว่าการศึกษาไทยจะต้องเปลี่ยนให้เด็กมีส่วมร่วมในคำถาม มีโอกาสที่จะได้แสดงความคิดเห็นมากขึ้น บางโรงเรียนอาจจะไม่ค่อยชอบฟังความคิดเห็นเด็ก ชอบที่จะให้เด็กจำในแบบที่เขาสอนมากกว่า เลยคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญนะที่โรงเรียนควรจะเปิดโอกาสให้เด็กได้คิด ได้พูดอะไรที่มันแตกต่างมากขึ้น
ในด้านภาคปฏิบัติก็ควรเพิ่ม ถ้าเด็กชอบอะไรก็ควรจะให้เขาได้ทำในสิ่ง ๆ หนึ่งอย่างเต็มที่ คือในโรงเรียนไทยทุกวันนี้ไม่ควรเน้นแต่ทฤษฎี ควรมีภาคปฏิบัติให้นักเรียนได้ลองลุยด้วยตนเอง คิดว่าน่าจะทำให้เขาได้ใช้ชีวิตกับความเรียลลิตี้มากขึ้นกว่าที่จะนั่งอยู่ในห้องเรียน
ในต่างประเทศ คุณครูเขาจะไม่ถามว่าทำไมถึงไม่เป็นอย่างนี้ แต่จะถามว่า คิดว่าเป็นอย่างอื่นอีกได้มั้ย คือคำถามของเขาไม่ต้องมีคำตอบที่ถูกหรือผิดแบบตายตัว เขาจะชอบให้คิดว่าถ้าไม่ใช่แบบนี้ จะไปทำอะไรได้อีก ถ้าไม่เกิดสิ่งนี้ นักเรียนคิดว่ามันเป็นอย่างอื่นได้อีกไหม เขาจะไม่มาบอกว่าอย่างนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร คือเด็กไม่ต้องมานั่งท่องจำเพื่อตอบคำถามที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าคำตอบที่ถูกที่สุดมีเพียงข้อเดียว
เรื่องเงินเดือนครู ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา
ฟ้าคิดว่าเรื่องเงินเดือนของครูก็สำคัญนะ คือบางครั้งฟ้ามองว่าถ้าเราอยากมีบุคลากรที่ดีในการสอน อาจจะต้องเพิ่มในเรื่องของเงินเดือน ค่าตอบแทนให้คุณครู เพราะว่าก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนที่มีความรู้ความสามารถจริง ๆ เขาไม่มองข้ามอาชีพนี้ไป อาจจะทำให้รู้สึกว่าเป็นอาชีพที่น่าทำมากขึ้น สร้างแรงบันดาลใจให้คนเก่ง ๆ อยากจะทำ ซึ่งก็อาจจะทำให้คุณภาพของครูดีขึ้นด้วยก็ได้นะ
คิดว่า ใบปริญญา สำคัญมั้ย? ปัจจุบัน บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ไม่สนใจใบปริญญา
ฟ้าคิดว่า ใบปริญญามีความสำคัญอยู่แล้ว เพราะเป็นเครื่องหมายการันตีว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง อีกด้านก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยว่าอย่างน้อยเรามีใบปริญญานะ แต่สำหรับคนที่มีความสามารถจริง ๆ แล้วเขาไปเจอบริษัทที่ไม่ได้เน้นเรื่องใบปริญญาก็อาจจะเป็นโอกาสสำหรับเขา
ฟ้าไม่อยากไปสนับสนุนว่าไม่ต้องเรียนไม่ต้องมีใบปริญญาก็ได้ เพราะส่วนใหญ่ในสังคมไทยเราใบปริญญาก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญอยู่ รวมไปถึงต่างประเทศก็สำคัญนะคะอย่างตอนที่ฟ้าไปเรียนต่างประเทศเขาก็จะมีรีครูทนะคะว่าคุณจบปริญญาอะไรมาบ้าง โอเคถ้าคุณไม่ได้มีใบปริญญาคุณก็อาจจะต้องเก่งในด้านนั้นจริงๆ ซึ่งก็ต้องแน่ใจว่าคุณแสดงให้เขาเห็นได้ ใบปริญญาก็อาจจะไม่ได้จำเป็น แต่ทั้งนี้ ถ้าเราไม่ได้เก่งขนาดที่มั่นใจว่าไม่ต้องมีปริญญาก็ได้ ฟ้าก็ยังอยากให้ทุกคนเห็นความสำคัญของใบปริญญาค่ะ
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-นามสกุล: ปรภัค มารยาตร์
ชื่อเล่น: ฟ้า
วันเกิด : 12 ตุลาคม 2535 (อายุ 26 ปี )
สัดส่วน: ส่วนสูง 170 ซ.ม. น้ำหนัก 55 ก.ก.
การศึกษา:
- จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางด้านปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาโท ที่ Politics – International Security and Global Governance ที่ประเทศอังกฤษ
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ
ขอบคุณภาพจาก: IG: Farraduck, missuniverse.in.th