เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้จัดงาน “จุฬาฯ 100 ปี ศตวรรษแห่งความภูมิใจ” ขึ้นมาเนื่องในโอกาสที่ จุฬาฯ ถูกสถาปนามาครบ 100 ปี นับว่าเป็นงานใหญ่ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว การก่อตั้งสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของชาวสยาม มาร่วมกันย้อนภาพอันงดงามของมหาวิทยาลัยแห่งนี้กันดีกว่า สถาบันการศึกษาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ผ่านภาพถ่ายที่ถูกบันทึกเอาไว้ใน 1 ศตวรรษแห่งความภูมิใจของชาวจุฬาฯ
จุฬาฯ 100 ปี ศตวรรษแห่งความภูมิใจ
ซึ่งถือกำเนิดมาจากโรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น ณ ตึกยาวข้างประตูพิมานชัยศรีในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ. 2442 และได้รับพระบรมราชานุญาตให้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก เมื่อ พ.ศ. 2445 เพื่อผลิตบุคลากรให้รับราชการ ซึ่งมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากพระบรมราโชบายปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กเป็นสถาบันอุดมศึกษา พระราชทานนามว่า “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” แล้วพระราชทานเงินทุนที่เหลือจากการที่ราษฎรได้เรี่ยไรเพื่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า กว่า 900,000 บาท ให้สร้างอาคารเรียนและตึกบัญชาการบนที่ดินพระคลังข้างที่จำนวน 1,309 ไร่ ในอำเภอปทุมวัน โดยเสด็จพระราชดำเนินวางศิลาพระฤกษ์ในการสร้างอาคารดังกล่าวเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2458
จากนั้น ทรงมีพระราชดำริที่จะขยายการศึกษาในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น กล่าวคือ ไม่เฉพาะสำหรับผู้ที่จะเล่าเรียนเพื่อรับราชการเท่านั้น แต่จะรับผู้ซึ่งประสงค์จะศึกษาขั้นสูงให้เข้าเรียนได้ทั่วถึงกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459
โดยในช่วงแรกมีการจัดการศึกษาเป็น 4 คณะ ได้แก่
- คณะรัฐประศาสนศาสตร์
- คณะแพทยศาสตร์
- คณะวิศวกรรมศาสตร์
- คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์
หลังจากนั้น ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2491 – 2503 เป็นระยะเวลาของการขยายการจัดการศึกษาออกไปในศาสตร์และศิลปวิทยาการต่างๆ โดยเน้นระดับปริญญาตรีเป็นหลัก และตั้งแต่ พ.ศ. 2504 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาของการขยายการศึกษาระดับปริญญาตรีเพิ่มขึ้น และเริ่มพัฒนาการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาส่งเสริมการค้นคว้า วิจัย การอนุรักษ์และสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมและการบริการทางวิชาการให้แก่สังคมสืบต่อมาจนถึงในปัจจุบัน…
ภาพนี้เป็นอาคารเรียนหนึ่งในคณะวิทยาศาตร์เมื่อปี 2509 (ถ้าจำไม่ผิดตึกนี้คือตึกเคมีเทคนิคในปัจจุบัน) จะสังเกตเห็นได้ว่าถนนด้านหน้าอาคารยังเป็นทางดินโรยด้วยอิฐหัก ด้านหน้าจะมีศาลเล็กๆ อยู่ด้วย
ในภาพจะเห็นถนนหลักด้านหน้าตึกบัญชาการ (ซึ่งก็คืออาคารเทวาลัยฝั่งวิศวะในปัจจุบัน) และดูเหมือนในช่วงระยะเวลาดังกล่าวจะมีงานสำคัญ เพราะมีอาคารชั่วคราวอยู่ด้านหน้าตึกด้วย
ตึกมหาจุฬาลงกรณ์ในอดีต… ปัจจุบันหลายท่านอาจคุ้นตา เนื่องจากบัณฑิตจุฬาฯ จะต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนสำเร็จการศึกษาออกไป สวยงาม เด่นสง่า สมเป็นอาคารบัญชาการหลังแรกของมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว
อาคารหอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คือตึกเก่าๆ ข้างคณะวิศวะ) ความสำคัญของอาคารนี้คือ ในสมัยก่อนตึกนี้มีจุดมุ่งหมายให้เป็น “สโมสรสถาน” ขององค์การบริหารนิสิต โดยคนที่ออกเงินให้คือ “พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์” ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นใครก็จะบอกว่า ท่านผู้นี้เป็นตาของ “ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์” นั่นเอง ซึ่งพระองค์เจ้าพระองค์นั้นมีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นอนุสรณ์แก่ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ผู้ทรงเป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่เห็นหน้าบัน (พื้นที่สามเหลี่ยมของหลังคา) จะเป็นรูปตะบองในวงจักร อันเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลจักรพงษ์นั่นเอง
อาคารนี้สร้างเมื่อปี 2473 ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง และในปี 2497 ก็ได้รับพระราชทานเงินจากพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ให้ขยายต่อด้านหลัง ในภาพจะเห็นว่าเป็นอาคารที่ดูเด่นและเท่มาก มองไปด้านหลังจะเห็นตึกฟิสิกส์ ของคณะวิทยาศาสตร์ได้อย่างชัดเจน เห็นได้ว่า ในสมัยนั้นยังไม่มีอาคารใดๆ มาบดบัง ปัจจุบัน “ตึกจักรพงษ์” ได้กลายเป็นหอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อที่จะรวบรวมเอาทุกสิ่งอย่างอันเป็นอดีตของจุฬาฯ มาเก็บไว้ที่นี่
อาคารสถาปัตยกรรม 1 ออกแบบโดยช่างที่ชื่อว่า ลูเซียง คอปเป้ และนายศิววงศ์ กุญชร ณ อยุธยา สร้างเสร็จเมื่อปี 2483 ในรัชสมัย ร.8 โดยลักษณะอาคารเป็นอาคาร 3 ชั้น เน้นความเรียบง่าย ไม่เน้นลวดลายที่หรูหราและรกรุงรัง ตามแบบสมัยนิยมของยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ปัจจุบันอาคารนี้คือส่วนหน้าของอาคารในคณะสถาปัตย์ ที่ต่อมามีการต่อเติมส่วนข้างและส่วนหลัง จนใหญ่โตดังที่เห็นในปัจจุบัน และคลองด้านหน้าก็ถูกถมจนหมด เหลือเป็นเพียงแค่สระน้ำเท่านั้น
—————————————–
ข้อมูลและภาพ : www.chula.ac.th, Facebook อภินิหารตำนาน “จุฬาฯ”