งานวิจัย ประสบความสำเร็จ พ่อแม่ มหาวิทยาลัย วันพ่อ

งานวิจัยจากมหาลัยต่างๆ 9 ข้อของ พ่อแม่ ที่ส่งเสริมให้ลูกประสบความสำเร็จ

Home / วาไรตี้ / งานวิจัยจากมหาลัยต่างๆ 9 ข้อของ พ่อแม่ ที่ส่งเสริมให้ลูกประสบความสำเร็จ

เป็นข้อมูลน่าสนใจจากนิตยสารออนไลน์ Business Insider รวบรวมผลงานวิจัยของนักวิจัยมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เกี่ยวกับงานวิจัยในประเด็นเรื่อง คุณลักษณะของพ่อแม่ผู้ปกครองแบบไหน ที่มีแนวโน้มว่าจะเลี้ยงดูให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้

พ่อแม่ แบบไหน ที่ส่งเสริมให้ลูกประสบความสำเร็จ

father-3

1. พ่อแม่ที่สามารถสอนให้ลูกมีทักษะทางสังคม (Social skills)

ผลงานวิจัยของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดุ๊ค (Duke University) และมหาวิทยาลัยรัฐเพนซิลเวเนีย (PennsylvaniaState University) ที่ทำการศึกษาติดตามวิวัฒนาการของเด็กจำนวน 700 รายทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เด็กๆ อยู่ในวัยอนุบาลจนถึงอายุ 25 ปี จากการศึกษาติดตามตลอดระยะเวลาประมาณ 20 ปี ทำให้นักวิจัยค้นพบว่า เด็กที่ได้รับการอบรมสั่งสอนทักษะทางสังคมจากพ่อแม่เป็นอย่างดีจะประสบความสำเร็จในสังคมที่เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างมีนัยสำคัญ

โดยเด็กที่มีทักษะทางสังคมดีจะสามารถใช้ชีวิตร่วมหรือทำงานร่วมกับเพื่อนฝูงของเขาได้ดี ทำตัวเป็นประโยชน์กับเพื่อนฝูง ช่วยเหลือเพื่อนฝูงคนรอบข้างได้ เข้าใจและตระหนักถึงอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง สามารถแก้ปัญหาของตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น มีแนวโน้มสูงที่จะสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นต้นไป และมีงานประจำทำเมื่ออายุได้ 25 ปีเป็นจำนวนมากกว่าเด็กที่มีทักษะทางสังคมต่ำ

ในทางตรงกันข้าม เด็กที่ไม่มีหรือมีทักษะทางสังคมต่ำมีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้ต้องหาถูกจับตัวตั้งแต่เป็นผู้เยาว์ ติดเหล้า และไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ต้องอยู่สถานสงเคราะห์มากกว่าจะอยู่กับครอบครัว

2. พ่อแม่ที่มีความคาดหวัง และให้ความมั่นใจแก่ลูกสูง

มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียที่ลอส แองเจลิส (University of California at Los Angeles หรือ UCLA) ได้ทำการสำเร็จเด็กจำนวน 6,600 รายที่เกิดในปี ค.ศ. 2001 โดยค้นพบว่าความคาดหวังที่ผู้ปกครองมีต่อเด็กมีผลกระทบสูงต่อความสำเร็จในชีวิตของเด็ก อาจารย์นีล ฮาล์ฟฟอน หัวหน้าโครงการสำรวจวิจัยกล่าวว่า พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีความคาดหวังและมีความเชื่อมั่นว่าลูกของตนจะต้องเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้มักจะสามารถดำเนินการให้ลูกสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้สำเร็จ

ต่างจากพ่อแม่ที่แม้อาจจะคาดหวังว่าลูกน่าจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่มีเพียงความคาดหวัง ไม่มีความเชื่อมั่นว่าลูกจะทำได้ ซึ่งเมื่อพ่อแม่ไม่เชื่อมั่น ลูกก็จะรู้สึกได้และทำให้ลูกขาดความเชื่อมั่นในตัวเองไปด้วย ประเด็นนี้เป็นเรื่องซับซ้อนทางจิตวิทยาพอสมควร การเป็นพ่อแม่เป็นภาระกิจที่ยากและหนักมาก แต่ถ้าท่านมีทั้งสมอง หัวใจ และความเชื่อมั่นให้กับลูก ความสำเร็จย่อมไม่ไกลเกินที่ท่านและลูกจะไขว่คว้า

3. แม่เป็นผู้หญิงทำงาน

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ออกมาแสดงให้เห็นว่า เด็กที่เติบโตขึ้นมากับแม่ที่ทำงานนอกบ้านได้รับประโยชน์จากการที่มีแม่ทำงานนอกบ้านอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยยังพบว่าลูกสาวที่มีแม่ทำงานนอกบ้านจะใช้เวลาศึกษาในสถานศึกษานานกว่ากลุ่มที่ไม่มีแม่ที่ทำงานนอกบ้าน นอกจากนี้พวกลูกสาวกลุ่มที่มีแม่ทำงานนอกบ้านยังมีแนวโน้มที่จะได้งานในตำแหน่งหัวหน้างาน และมีรายได้สูงกว่าพวกที่มีแม่อยู่กับบ้านถึง 23%

งานวิจัยยังเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจอีกด้วยว่าลูกชายที่มีแม่ทำงานนอกบ้านใช้เวลาในการดูแลลูกมากกว่าอีกกลุ่มถึง 7.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และใช้เวลาทำงานบ้านมากกว่าสัปดาห์ละ 25 นาที อาจารย์แคธลีน แม็กกินน์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวถึงประเด็นเรื่องการมีแม่ที่ทำงานนอกบ้านว่ามันเป็นปัจจัยหนึ่งที่แสดงถึง “บทบาท” ที่เป็นแบบอย่างในสังคมครอบครัวที่ลูกเรียนรู้จากแม่ซึ่งมีผลต่อแนวคิดและพฤติกรรมของเขาในอนาคต เช่น ถ้ามีแม่ที่ทำงานนอกบ้านไม่ค่อยมีเวลาทำงานบ้าน สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวไม่จำกัดว่าเป็นหญิงหรือชายก็ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ

4. พ่อแม่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม (Socioeconomic status) ในระดับสูงกว่า

งานวิจัยของนักวิจัยชื่อ ฌอน แรร์ดอน จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า ความแตกต่างทางฐานะของพ่อแม่ของเด็กมีผลกระทบต่อการประสบความสำเร็จของเด็ก นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอื่นที่ชี้ว่าเด็กที่มีผลสอบ SAT สูง (Scholastic Assessment Tests หมายถึง ผลการสอบมาตรฐานของเด็กที่เรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในสหรัฐอเมริกา โดยมหาวิทยาลัยจะนำคะแนนสอบ SAT นี้ไปเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษา โดยแต่ละมหาวิทยาลัยก็จะมีเกณฑ์การใช้คะแนนนี้ต่างกันไป) มักเป็นเด็กที่มีพ่อแม่ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่า

5. พ่อแม่มีการศึกษาสูง คือแรงบันดาลใจในการศึกษาให้ลูก

ซานดร้า ตั้ง นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่า จากกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาจำนวน 14,000 คน เด็กที่มีแม่เป็นวัยรุ่น อายุต่ำกว่ายี่สิบที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาลงมามักจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับระดับสติปัญญาของแม่หรือของเด็กแต่อย่างใด แต่มันเป็นเรื่องของ “แรงบันดาลใจ” (Inspiration) มากกว่า

หมายความว่า การที่ลูกจะได้เรียนระดับมหาวิทยาลัยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแรงบันดาลใจจากพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่มีแรงบันดาลใจอยากเรียนระดับมหาวิทยาลัย แม้ว่าอาจจะไม่ได้เรียนด้วยสาเหตุใดก็ตาม ลูกมักจะได้รับถ่ายทอดความบันดาลใจนั้นด้วย ซึ่งจะมีผลในการผลักดันให้เขาอยากศึกษาและร่วมมือกับพ่อแม่หาทางศึกษาให้สูงที่สุด

ทั้งนี้จากการศึกษาของ นักจิตวิทยาชื่อ เอริค ดูโบว์ จากมหาวิทยาลัยโบว์ลิ่งกรีน ในย่านชนบทของมลรัฐนิวยอร์คพบว่า ระดับการศึกษาของพ่อแม่ ณ เวลาที่ลูกมีวัย 8 ขวบเป็นช่วงเวลาที่มีนัยสำคัญที่จะพยากรณ์ระดับการศึกษา และความสำเร็จในอาชีพของลูก กล่าวคือ สมมุติว่าเมื่อลูกมีอายุ 8 ปี พ่อแม่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ก็มีแนวโน้มสูงว่าลูกจะจบการศึกษาระดับเดียวกันเมื่อโตขึ้น

6. สอนเลขเบื้องต้นให้ลูกตั้งแต่ตอนเด็กๆ

เกร็ค ดันแคน นักวิจัยของมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเธิร์นกล่าวว่า “การมีทักษะทางคณิตศาสตร์เบื้องต้นของเด็กมันสามารถสะท้อนถึง หรือพยากรณ์ได้ถึงความสำเร็จในทางคณิตศาสตร์ในตอนโตได้เลย และมันยังคาดการณ์ได้ถึงความสามารถในการอ่าน (Readin) ในอนาคตของเด็กด้วย” คนเป็นพ่อแม่จึงต้องจำไว้เสมอว่าการดูแลเอาใจใส่สั่งสอนอบรมลูกในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็กเล็กๆด้วยตนเองเป็นเรื่องที่ห้ามพลาดและรอไม่ได้ เพราะท่านไม่สามารถย้อนเวลาให้ลูกกลับไปเป็นเด็กเพื่อที่ท่านจะแก้ตัวได้อีก

father-5

7. พ่อแม่พัฒนาสัมพันธภาพที่ดีกับลูกตั้งแต่วัยเยาว์

เคยมีผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างเด็กที่มีฐานะยากจนจำนวน 243 ราย พบว่าเด็กที่ได้รับความเอาใจใส่ใกล้ชิดจากพ่อแม่ในช่วงอายุ 3 ปีแรกที่ได้ลืมตาดูโลกจะมีความสามารถในการทำข้อสอบได้ดีกว่าเด็กที่ไม่มีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับพ่อแม่ นอกจากนี้พวกเขายังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นและประสบความสำเร็จทางการศึกษาที่ดีกว่าเมื่อพวกเขามีอายุได้ประมาณ 30 ปี

8. พ่อแม่มีความเครียดน้อยกว่า

บริจิด ชูลต์ที นักเขียนของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ อ้างงานศึกษาชิ้นหนึ่ง (ไม่ทราบว่าของใคร) ว่าอย่าไปนับจำนวนชั่วโมงที่พ่อแม่ หรือที่แม่อยู่กับลูก สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ใช้เวลาอย่างไรต่างหาก ถ้าพ่อแม่อยู่กับลูกทั้งวัน แต่อยู่ด้วยความเครียด เข้มงวดกวดขันดุด่ามากไป มันก็จะกลายเป็นการใช้เวลาที่ไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร พ่อแม่ที่ฉลาด และเลี้ยงลูกเป็นต้องมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่สูง ไม่เครียดเกินไปในการดูแลลูก จึงจะได้ลูกที่มีสุขภาพจิตดีและมีสติปํญญาที่ดี สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ดี เข้าสังคมกับผู้อื่นได้ไม่มีปัญหา และทำงานได้ประสบความสำเร็จตามสมควร

9. พ่อแม่ที่มีความคิดจำกัด (Fixed mindset) และความคิดที่ยืดหยุ่น (Growth mindset)

พ่อแม่ที่มีความคิดจำกัด หรื่อมีเงื่อนไขจะส่งผลให้ลูกติดอยู่กับข้อจำกัดต่าง ๆ ไปด้วย อาทิ ถ้าลูกอยากประสบความสำเร็จต้องเป็นคนฉลาดเท่านั้น!! หมายความว่า ถ้าไม่เป็นแบบนี้คือหมดหวังไม่มีทางสำเร็จได้ ในทางกลับกัน ถ้าพ่อแม่มีความคิดแบบยืดหยุ่น ปรับวิธีคิด การดำเนินชีวิตตามสถานการณ์ ก็จะลดข้อจำกัดไป มองเห็นวิธีการแก้ไขปัญหา หลากหลายวิธี เป็นการช่วยส่งเสริมให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ปรับตัวได้ แก้ไขปัญหาเป็น หาทางออก มุ่งหน้าคว้าความสำเร็จมาได้ในมือ

ขอบคุณสาระความรู้ดี ๆ จาก : รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข, www.bangkokbiznews.com

บทความแนะนำ