วิทยาลัยดุสิตธานี เรียนทำอาหาร

ประสบการณ์เรียน สาขาการจัดการครัว และศิลปะการประกอบอาหาร – พุทธิพร หลุยส์

Home / ดาวเด่นมหาวิทยาลัย / ประสบการณ์เรียน สาขาการจัดการครัว และศิลปะการประกอบอาหาร – พุทธิพร หลุยส์

สวัสดีครับ ผม หลุยส์ นะครับ พุทธิพร หลุยส์ ซอนเดอรส์ ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่ วิทยาลัยดุสิตธานี กรุงเทพฯ สาขาการจัดการครัวและศิลปะการประกอบอาหาร ชั้นปีที่3 ถ้าจะพูดถึงผลงาน หรือกิจกรรมที่ผมเคยทำมานั้น เอาจริงๆ ในรั้วดุสิตธานีนี้ ก็มีค่อนข้างเยอะเหมือนกันครับ แต่ผมจะขอหยิบเอาเฉพาะผลงาน และกิจกรรมที่มันค่อนข้างมีความหมายกับชีวิตของผม

ประสบการณ์เรียน สาขาการจัดการครัว

พุทธิพร หลุยส์ ซอนเดอรส์

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็อยากจะขอกล่าวถึงผลงานชิ้นหนึ่งที่ไม่ใช่ชิ้นแรก แต่เป็นชิ้นที่ผมภูมิใจที่สุดเลย นั้นคือ การที่ผมได้ผ่านการคัดเลือกได้รับทุนการศึกษา จากคณะกรรมการ เป็นทุนนักกิจกรรมและกีฬาดีเด่น ซึ่งคัดกรองจากผลการศึกษา ผลสอบภาษา และผลงานกิจกรรมต่างๆ ที่ผมพยายามสร้างมาทั้งหมด ยอมรับครับว่าเหนื่อย แต่ภูมิใจมากเลยเมื่อมันสำเร็จ

กิจกรรมในสถาบัน

และผลงานต่อมาหลังจากนี้ จะเป็นกิจกรรมแรกๆ เรียงตามไทม์ไลน์เลย นั้นคือ กิจกรรมผู้นำเชียร์กลาง ในวันประดับเข็มรุ่น หรือภาษาง่ายๆ ก็คือ เชียร์หลีดเดอร์นั้นแหละครับ ผมได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเชียร์หลีดเดอร์จากรุ่นพี่ที่รู้จักมาชักชวนไปลองดู เราต้องใช้เวลาถึง 2 เดือนในการฝึกซ้อมให้งานออกมาดีที่สุด เหนื่อยมากๆ ครับ เลิกเรียนมาซ้อมต่อตั้งแต่ 5 โมงเย็น ถึง 3 ทุ่มทุกวัน

บอกตรงๆ ตอนที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาฝึกซ้อมในช่วงแรกๆ ความรู้สึกตอนนั้นคือ “นี่เรามาทำอะไรอยู่เนี่ย” แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักผมก็เริ่มได้เห็นความตั้งใจของพี่ๆ ได้รับกำลังใจจากพี่ๆ ทุกคนน่ารักมากๆ เลยครับ คอยแนะนำขัดเกลาให้ข้อคิดดีๆ บอกเลยว่าเมื่อมาถึงวันสุดท้าย และพวกเราสามารถทำมันได้ รู้สึกตื้นตันมากครับ เหมือนได้ให้เค้ากลับไปบ้าง ให้พวกเค้าได้ภูมิใจที่พวกเราทำมันได้ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ลืมเลยครับ

ผลงานต่อมานั้น เป็นกิจกรรมที่เสมือนเปลี่ยนตัวผมให้เป็นคนกล้าแสดงออกมากขึ้น และมีวิธีการพูดที่ดีกว่าเดิม ผ่านการฝึกซ้อมโดยคณาจารย์ นั้นคือกิจกรรม “อ่านเปลี่ยนโลก” ที่ถูกจัดขึ้นโดยอาจารย์ของกลุ่มวิชาภาษาและสังคม ซึ่งตัวผมได้รับหน้าที่เป็นพิธีกรในวันนั้น ซึ่งผมที่ไม่เคยทำหน้าที่พิธิกรมาก่อน ตอนนั้นรู้สึกประหม่ามากๆ เลยนะครับ แต่ก็ต้องขอขอบคุณอาจารย์ที่คอยช่วยคอยแนะนำสร้างความมั่นใจจนผมทำมันผ่านมาได้

ความรู้สึกหลังจากจบงานในวันนั้น รู้สึกประทับใจปะปนกับความโล่งอกโล่งใจไปในตัว ต้องขอขอบคุณอาจารย์ทุกท่านในวันนั้นเลย ที่ไว้วางใจเปิดโอกาสให้ผมได้ทำในสิ่งใหม่ๆ ที่ก่อนหน้าไม่เคยว่าจะทำได้มาก่อนครับ

ผลงานที่ประทับใจ

อีกหนึ่งผลงาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผมได้มีโอกาสมาเขียนบทความให้ทุกท่านได้อ่านกัน จนถึงตอนนี้ คือ “DTC Young Ambassador 2020” เป็นกิจกรรมที่คัดเลือกนักศึกษาในวิทยาลัย เพื่อเป็นตัวแทนในการประชาสัมพันธ์ของสถาบัน โดยที่นักศึกษาสามารถส่งใบสมัคร เพื่อที่จะเข้าสัมภาษณ์และรอรับคัดเลือกจากคณะกรรมการ

ไอดอลของผม

ผมยังจำวันนั้นได้ดีเลยครับ วันที่เด็กคนนึงกำลังเรียนปฏิบัติในวิชาเบเกอรี่ และพี่คนนึงจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ เข้าทักว่าต้องเข้าสัมภาษณ์ด่วนในวันนั้นเป็นคนสุดท้าย ผมไม่มั่นใจหรอกนะ ว่าคณะกรรมคัดเลือกตัวผมจากบุคคลิกภาพ หรือคำให้สัมภาษณ์ แต่อย่างน้อยผมประทับใจในคำตอบของตัวเองที่สุดเลย ที่คณะกรรมการถามมาว่า ไอดอลของตัวผมคือใคร ผมตอบไปว่าแม่ของผมเอง สั้นๆ เลยแค่ท่านเลี้ยงลูก 3 คนโดยตัวคนเดียวให้เติบโตมาในสังคมทุกวันนี้ได้ แค่นี้ก็ไม่ใครจะเป็นไอดอลในใจผมได้อีกแล้วแหละครับ

และผลงานสุดท้าย ที่ไม่รู้เลยว่าผมทำมันออกมาได้ดีเท่าที่ควรหรือไม่ แต่มันเป็นผลงานที่ตัวผมเองคิดว่า มันน่าจะใหญ่ที่สุดในชีวิตผมตอนนี้แล้ว สำหรับผลงานชิ้นนี้ต้องขอขอบคุณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของวิทยาลัยดุสิตธานีเป็นอย่างยิ่งเลย ที่หยิบยื่นโอกาสที่ดีขนาดนี้ให้กับเด็กอย่างผม ผมได้รับโอกาสให้มาออกรายการ “ชีวิตชีวา” ช่อง33HD โดยที่ทางรายการได้ให้โจทย์ให้เราไปคิดเมนูที่ทำงานและดีต่อสุขภาพ มาให้ทางบ้านได้รับชมกัน

ซึ่งเมนูที่ผมนำมาเสนอนั่นคือ “อโวคาโด้ ชีสเค้ก” มันเป็นเมนูที่ผมได้เริ่มต้นมาจาก นิวยอร์กชีสเค้กที่ผมชอบทานนี่แหละครับ แค่นำครีเอทสายสุขภาพขึ้นมาหน่อย มันมีไม่กี่เหตุการณ์การณ์ในชีวิตหรอกนะครับ ที่จะทำให้เรานอนไม่หลับเลย

ใช่แล้วครับ ก่อนวันถ่ายนี่ผมนอนไม่หลับเลยจริงๆ ตื้นเต้นมากๆ มากเกินไปด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้เค้าไปในกองถ่ายแล้วพี่ๆ ในทีมรายการรวมถึงพี่ๆ ทีมประชาสัมพันธ์ก็คอยช่วยลดความกดดัน บอกตรงๆ ถ้าไม่มีพี่ๆ คอยช่วยเราอาจแย่กว่านี้ก็ได้นะ ยังไงก็ขอขอบคุณพี่ๆ ทุกคนเลยนะครับ ที่คอยช่วยให้ผมผ่านงานถ่ายรายการแรกมาได้

เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตมหาวิทยาลัย

เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ผมจะพูดถึงช่วงเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตมหาลัย ว่าผมเอาเวลาส่วนใหญ่เลยในช่วงนี้ไปทำอะไร ก่อนที่ผมจะเริ่มเข้าเรียนในวิทยาลัยดุสิตธานีนั้น ในช่วงปิดเทอมสุดท้ายของมัธยม ผมได้เข้ามาในตัวเมืองกรุงเทพ เพื่อมาลองหางานทำ งานแรกที่ผมได้เริ่มทำในกรุงเทพเลยคือ งานคลังสินค้า งานก็เหนื่อยอยู่สมควรครับ แต่ด้วยความที่เราอิ่มใจที่ได้เห็นเงินที่เราหามาได้ด้วยตัวเอง ผมก็ทำงานที่นั่นยาวมา 2 เดือนจนเปิดเทอมวิทยาลัย

และตั้งแต่ผมเริ่มเข้าศึกษาในวิทยาลัยดุสิตธานี ผมก็เริ่มได้รับการสนับสนุนจากทางวิทยาลัย ที่มีเพจงานพาร์ทไทม์ของวิทยาลัย ตั้งแต่นั้นมา ผมก็เริ่มได้จับสายงานบริการ โดยงานแรกมันก็ไม่มีงานครัวมากนัก ผมก็ได้เริ่มงานเสิร์ฟงานเก็บงานเซ็ตอัพรายวันก่อนเลย แต่ได้ทำมาเรื่อยๆ ก็เริ่มมีคอนเน็คชั่น เริ่มได้เข้างานครัวตามร้านอาหารต่างๆ

ประสบการณ์นอกห้องเรียน

และครั้งนึงผมได้ไปรู้จักกับรุ่นพี่ในที่ทำงาน ที่เค้าเคยทำครัวโรงแรม5ดาวมาก่อน เค้าก็แนะนำให้ผมไปลองทำงานที่นั่นดู และแล้วโรงแรม5ดาวแรกที่ผมได้ไปทำงานก็มาถึง นั่นคือ Hotel Nikko Bangkok และต่อจากนั้นมาผมก็เริ่มหาคอนเน็คชั่นง่ายขึ้นจากพี่ๆ ที่ทำงานด้วยกัน จนมาถึงตอนนี้ที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปทำงานแคชชวลโรงแรมหลายต่อหลายแห่งได้แก่ Capella, Sheraton, Siam kempinski, Sindhorn kempinski, Waldorf Astoria, Marriott Marquis, Grand Hyatt Erawan

แต่ถึงผมจะมีโอกาสได้ไปทำงานหลายโรงแรมที่กล่าวมานี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเก่งกาจด้านงานครัวอะไรอย่างนั้นนะครับ ผมเพียงแค่มีโอกาสได้ไปรับงานรายวัน บางงานก็ทำหน้าที่เสิร์ฟบางงานก็ทำในครัว แต่ผมก็จะรับงานครัวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจากที่ผมได้ไปทำงานมาในหลายที่ที่กล่าวมานี้ มันทำผมได้เห็นถึงวัฒนธรรม ระบบงาน รวมถึงเทคนิคในงานครัวของหลายๆ องค์กร ว่าแต่ละครัวแต่ละห้องอาหารเค้าทำงานกันยังไงบ้าง ซึ่งในหลายๆ ครั้งผมก็สามารถนำมันมาปรับใช้ในห้องเรียนได้เป็นอย่างดี และอีกอย่างงานเหล่านี้ก็แปลมาเป็นตัวเงินที่จะทำให้ผมนั้นจะได้ไม่ต้องไปรบกวนเงินของที่บ้านมากด้วย

แต่ถ้าผมจะพูดถึงงานที่ผมทำมาทั้งหมด และถ้าจะไม่พูดถึงงานๆ นึงที่เป็นมากกว่าที่ทำงานและตัวผมก็ยังคงทำอยู่ทุกวันนี้นั้น คงไม่ได้ เมื่ออ่านกันมาถึงตรงนี้แล้วผมคิดว่าคงจะมีผู้ใหญ่ 2 ท่านแอบขำอยู่ในใจแน่ๆ มันคือ ร้าน Thyme By Skinhead Kitchen เป็นร้านอาหาร Private สไตล์ Home cooking ที่รังสรรค์โดย Masterchef ทั้ง 2 ท่านที่ผมเรียกว่า น้าแบงค์และน้าไม้ซุง

บอกเลยว่าถ้าตัดชื่อเสียงของพวกเค้าออกไป ผมถือว่าพวกเค้าเป็นบุคคลที่ดีมากๆ ต่อผมเลย ผมได้รับประสบการณ์และความรู้หลายอย่างมากจากการมาทำงานที่นี่ ใจจริงอยากจะกล่าวให้ยาวกว่านี้ แต่เอาเป็นว่า ผมอยากให้ทุกท่านที่ได้อดทนอ่านบทความของตัวผมมาถึงตรงนี้ได้เข้าใจว่า อย่างน้อยๆ การที่เราได้ออกไปหาประสบการณ์การจากการทำงาน ท้ายที่สุดแล้วมันอาจนำมาซึ่งสิ่งดีๆ มากกว่าที่เราคิด ดังเช่นมิตรภาพที่ดีอย่างที่ผมได้กล่าวไปข้างต้น

ท้ายที่สุดแล้ว ประสบการณ์ดีๆ ทุกอย่างที่ผมได้ผ่านมาและเขียนให้ทุกท่านได้อ่านในวันนี้ คงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากว่าเด็กคนนี้ในวันนั้น ไม่ได้ตัดสินใจเลือกที่จะเรียนที่วิทยาลัยดุสิตธานีแห่งนี้ นั่นเพราะความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นเชฟ แต่มันกลับให้อะไรที่มากไปกว่าแค่การอยากเป็นเชฟ อย่างที่ทุกท่านได้อ่านมาทั้งหมดครับ.

ขอบคุณครับ

พุทธิพร หลุยส์ ซอนเดอรส์

ที่มา วิทยาลัยดุสิตธานี : https://dtc.ac.th