ต่างประเทศ ประสบการณ์ฝึกงาน ประเทศฟิลิปปินส์ ฝึกงาน

แชร์ประสบการณ์ บินเดี่ยว ฝึกงานที่ CIP ฟิลิปปินส์ (แบบละเอียดยิบ)

Home / วาไรตี้ / แชร์ประสบการณ์ บินเดี่ยว ฝึกงานที่ CIP ฟิลิปปินส์ (แบบละเอียดยิบ)

กระทู้นี้น่าจะเป็นประโยชน์ให้กับน้องๆ นิสิตนักศึกษาที่คิดจะไปฝึกงานที่ต่างประเทศนะคะ โดยสมาชิกพันทิพยูเซอร์ Life is the most profound art เขาได้มาแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ที่ได้บินเดี่ยว เดินทางไปฝึกงานที่สถาบันสอนภาษาอังกฤษ CIP ประเทศฟิลิปปินส์ น้องๆ จะได้ข้อมูลตั้งแต่จุดเริ่มต้นโครงการ ชีวิตความเป็นอยู่ รวมไปจนถึง ข้อดี ข้อเสียของการได้ไปฝึกงานที่นั่น ไปอ่านรีวิวแบบละเอียดยิบ จัดเต็มกันได้เลยค่ะ

แชร์ประสบการณ์ บินเดี่ยว ฝึกงานที่ CIP

สวัสดีค่ะ เราเป็นนิสิตปีสาม คณะภาษา ณ มหาวิทยาลัยรัฐ แห่งหนึ่งนะคะ พอดีเรามีโอกาสได้มาฝึกงานเป็นพนักงานดูแลนักเรียนหรือ Student staff ในสถาบันสอนภาษาอังกฤษ ณ ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเวลา3เดือน ที่แซ่บ คือสมัครเอง ดำเนินเรื่องเอง ไม่ได้ผ่านทางมหาวิทยาลัย แล้วบินเดี่ยวมาฝึกงานเองค่ะ ตอนนี้ฝึกงานมาได้ 1 เดือนแล้ว อยากจะมารีวิวชีวิตที่นี่ เผื่อใครสนใจค่ะ

แชร์ประสบการณ์

กระทู้นี้อาจมีเนื้อหายาวหน่อยนะคะ แต่จะพยายามเล่าเป็นลำดับๆไป ยังไงก็ขอแปะโครงร่างคร่าวๆ ก่อนเลยละกันค่ะ

1. จุดเริ่มต้นและรายละเอียดโครงการ

1.1 รู้จักโครงการนี้ได้ไง

จริงๆแล้วเราเคยมาเรียนภาษาอังกฤษที่ประเทศฟิลิปินส์เมื่อปีที่แล้วค่ะ พอดีเพื่อนในคณะชวน แต่เรียนที่อีกสถาบันหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งเดือน ผ่านเอเจนซี่Engcluesค่ะ (ขอบอกชื่อเพราะน่าจะมีเอเจนซี่เดียวที่ติดต่อเรื่องเรียนภาษาอังกฤษในฟิลิปปินส์) แล้วพี่ที่เอเจนซี่ก็ดีมาก ถามปุ๊บตอบปั๊บ ไม่ทิ้งเด็ก มาเรียนก็คอยถามไถ่เรื่อยๆ และที่สำคัญ ราคาไม่แพงค่ะ ถ้าเทียบกับเรียนที่ประเทศอื่นในช่วงเวลาเดียวกันเราว่าที่ฟิลิปปินส์ถูกสุดละ เราก็เลยเช็คเว็บไซต์ของเอเจนซี่นี้อยู่เรื่อยๆเพราะมักจะมีโปรโมชั่นลดราคาค่ะ เราก็เลยเห็นว่าเขามีโครงการไปฝึกงานที่ฟิลิปปินส์3เดือน ฝึกในสถาบันสอนภาษาอังกฤษ ได้ใช้ภาษาอังกฤษตลอดเวลา เพื่อนร่วมงานก็มีหลายชาติ แถมได้เรียนวันละ3คาบ แล้วก็ได้เงินเดือนด้วย ที่สำคัญที่สุด ทางสถาบันจะออกค่าใช้จ่ายให้ เราว่าน่าจะประมาณ80%เลยค่ะ เราออกเองน้อยมากกกกก คือรวมทุกอย่างไม่เกิน5หมื่นอ่ะค่ะ(จากในรายละเอียดในเว็บไม่รวมพ็อกเก็ตมันนี่นะคะ อย่าลืมว่าเดี๋ยวเราได้เงินเดือนอีกด้วยค่ะ)  เราเห็นแล้วตาลุกวาวววววว คือพึ่งจบปีสามกำลังหาที่ฝึกงานอยู่พอดี ถามแม่แม่ก็อนุมัติ ก็เลยโทรไปสอบถามรายละเอียดค่ะ

1.2 ลักษณะงาน

สถานที่ทำงาน : โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ CIP (Clark Institute of The Philippines) เมือง Angeles ประเทศฟิลิปปินส์

ตำแหน่ง: Student staff

รายละเอียดงานคร่าวๆ : หน้าที่หลักคือดูแลนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนไทย และแปลเอกสารของทางสถาบัน ดูแลกิจธุระของสถาบัน

สวัสดิการ

-ค่าใช้จ่าย ทางโครงการจะออกค่าใช้จ่ายให้ประมาณ 80% รวมค่ากินค่าอยู่ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าวีซ่า ค่าบัตรนักเรียน (อันนี้แล้วแต่แต่ละสถาบันด้วยค่ะ) เราออกค่าเครื่องบิน ค่าดำเนินเรื่องของทางเอเจนซี่ ค่าหนังสือเรียน แล้วก็ค่าใช้จ่ายส่วนตัว อันนี้คอนเฟิร์มตัวเลขไม่ได้ค่ะ แล้วแต่แต่ละสถาบันจะเสนอเงื่อนไข แต่ทางสถาบันเราเราจ่ายทั้งหมดไม่เกิน 5 หมื่นค่ะ 3 เดือนเลยนะคะ อาหาร3มื้อ ห้องก็มีแอร์ มีตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี พร้อมหมด (อยู่กับรูมเมทอีกหนึ่งคนค่ะเขาจะจัดให้เอง)

-เรียนภาษาอังกฤษฟรี3คาบต่อวัน ยกเว้นเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดของฟิลิปปินส์

-มีเงินเดือนให้ ตามภาระงานที่ทำลุล่วง

-ในวันเดินทางจะมีรถไปรับจากสนามบินมายังสถาบัน

-ทำงานร่วมกับหลายเชื้อชาติ ทั้งคนเกาหลี (ผู้จัดการ) ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อาจมีชาติอื่นๆอีกตามโอกาส ถือเป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารตลอดเวลา

1.3 ทักษะที่ต้องการ

— ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ และพอจะใช้แปลงานได้ คือไม่ต้องถึงกับเป๊ะเว่อร์อ่ะคะ เราก็ไม่เป๊ะ ยังพูดผิดแกรมม่า ยังนึกศัพท์ไม่ออก จริงๆสต๊าฟชาติอื่นที่ไม่ใช่ฟิลิปปินส์ก็ไม่มีใครเป๊ะนะคะ 555 ภาษาอังกฤษระดับintermediateขึ้นไปเราว่าก็โอละ แต่ยังไงทางสถาบันเขาจะสัมภาษณ์ก่อนอยู่แล้วค่ะ
— อดทน ต้องอดทนและถึก เพราะอยู่ต่างบ้านต่างเมือง และมาทำงานแน่นอนว่าต้องไม่มีใครมาคอยโอ๋แล้ว
— เข้ากับคนง่าย ยิ้มง่าย let it goได้ง่าย และเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้

2.การสมัครและการสอบสัมภาษณ์

ขั้นตอนการสมัครไม่มีอะไรยุ่งยากค่ะ เราก็โทรไปหาเอเจนซี่ว่าสนใจ เขาจะให้เราส่งCVไป ถ้าเขาพิจารณาแล้วผ่านเขาจะเรียกไปสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ เขาก็จะดูทัศนคติแล้วก็เช็คว่าเราพอจะสื่อสารได้ไหม ถ้าผ่านขั้นนี้บางสถาบันเราต้องสัมภาษณ์กับผู้จัดการด้วย อย่างของเราก็ต้องคุยกับผู้จัดการผ่านสไกป์ค่ะ ผู้จัดการเป็นคนเกาหลีก็คุยเป็นภาษาอังกฤษค่ะ ผู้จัดการเราค่อนข้างใจดี คุยได้ ก็ถามคำถามธรรมดาๆเฮฮา ไม่มีอะไรซีเรียส ถ้าผ่านขั้นนี้ก็ดำเนินเรื่องเอกสารค่ะ ไม่ยุ่งยากเลยเพราะทางเอเจนซี่จะจัดการให้เอง

3.ชีวิตในสถาบัน

มาถึงส่วนสำคัญแล้วค่ะ 555 ในส่วนนี้เราจะแนะนำรายละเอียดสถาบันและการใช้ชีวิตที่นี่นะคะ เผื่อใครสนใจมองหาที่ฝึกงานหรือที่เรียนภาษาอังกฤษ อาจจะได้ทางเลือกเพิ่มอีกทางเลือกหนึ่งก็ได้ค่ะ

3.1 รู้จักสถาบัน

—แนะนำสถานที่ต่างๆในโรงเรียน

แชร์ประสบการณ์

สถาบันที่เราทำงานอยู่ชื่อ CIP ค่ะ ย่อมาจาก Clark Institute of the Philippines ตั้งอยู่ที่เมือง Angeles ประเทศฟิลิปปินส์ อากาศร้อนพอๆกับไทยเลยค่ะ 555 แวดล้อมก็คล้ายๆไทย คือเป็นชนบทผสมเมืองค่ะ ไม่เจริญเท่ามะนิลา แต่ก็มีห้างสรรพสินค้า มีผับบาร์ ครบค่ะ คือที่ประเทศฟิลิปปินส์มันไม่ได้แยกชนบทกับเมืองชัดเจน แบบข้างทางด่วนเป็นทุ่งหญ้าที่มีวัวน่ะค่ะ 555 เมืองที่เราอยู่เป็นเมืองเล็กๆ คนก็ไม่ได้ร่ำรวยนัก ไม่เจริญเท่ากรุงเทพแต่ก็มีห้างมีร้านรวงครบครันค่ะ ส่วนใหญ่นักเรียนจะนิยมไปเที่ยวต่างจังหวัดที่อยู่ใกล้ๆมากกว่า

มาโฟกัสที่สถาบันเลยนะคะ ภายในสถาบันประกอบด้วยป้อมยาม ซึ่งจะอยู่หน้าประตู ใครจะเข้าออกต้องฝากบัตรและเซ็นชื่อกับเวลาเข้าออกทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยค่ะ โดยคนนอกไม่สามารถเข้ามาได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ถัดมาเป็นลานจอดรถ ซึ่งก็มักจะมี Shuttle Bus คันใหญ่มากกก จอดอยู่ ไว้รับส่งนักเรียนไปสถานที่ต่างๆค่ะ คือที่นี่มีบริการรถบัสรับส่งฟรีด้วย แต่ก็มีตารางเวลาออกนะคะ เช่น วันจันทร์ไปห้างนี้ วันพฤหัสไปห้างนี้ ก็สะดวกไปอีกแบบค่ะ

แชร์ประสบการณ์

ภาพอาคารสำนักงาน

ถัดมาเป็นตึกสำนักงาน เราทำงานในตึกนี้ค่ะ นั่งโต๊ะตรงข้ามกับผู้จัดการเลยค่ะ 555 ข้างๆตึกเป็นโรงอาหาร มีอาหาร 3 มื้อ วันเสาร์อาทิตย์มีบุฟเฟ่ต์ อาหารส่วนใหญ่เป็นสไตล์เกาหลีค่ะ มีญี่ปุ่นโผล่มาบ้าง รสชาติก็อร่อยดีค่ะ แต่อาหารจะเป็นทอดส่วนใหญ่ เราจัดเต็มทุกมื้อ น้ำหนักขึ้นเลยค่ะ 555 หลังตึกสำนักงานจะมีสแน็กบาร์ ขายขนมและเครื่องดื่ม ข้างๆสแน็กบาร์เป็นอาคารเรียนสองอาคารค่ะ จะแบ่งโซนกัน ระหว่างคอร์สธรรมดา กับคอร์สไอเอล โทเฟล โทอิค พวกคอร์สไอเอลบรรยากาศจะเป๊ะนิดนึง เรียนกันหนักเชียวค่ะ ฝั่งคอร์สธรรมดาจะออกแนวเฮฮามากกว่าอาจารย์ที่นี่มีทั้ง native teachers และชาวฟิลิปปินส์ค่ะ อาจารย์ที่นี่ค่อนข้างเฟรนด์ลี่ คือเจอกันถึงไม่เคยเรียนด้วยก็จะเซย์ไฮทักทายกันตลอด แล้วอาจารย์จะถูกเทรนด์มาแล้วค่ะ คือไม่ใช่แค่สอนๆๆแล้วจบ แต่จะถามไถ่สารทุกข์สุขดิบก่อนเสมอ  และมักจะออกไปเที่ยวกับนักเรียนบ่อยๆค่ะ

แชร์ประสบการณ์

ภาพโรงยิม

นักเรียนที่นี่จะค่อนข้างสนิทกับอาจารย์ อยู่กันเหมือนเพื่อนมากกว่า หลังอาคารเรียนเป็นพื้นที่สูบบุหรี่ค่ะ คนที่นี่ทั้งครูทั้งนักเรียนสูบบุหรี่จัดมากค่ะ นักเรียนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลี ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น สูบบุหรี่กัน95%เลยค่ะ สูบกันตั้งแต่ยังไม่20เลย แต่เขาก็จะสูบกันแต่บริเวณที่จัดไว้อ่ะค่ะ ก็ไม่ได้รบกวนอะไร ข้างๆที่สูบบุหรี่มีโรงยิม

แชร์ประสบการณ์

พื้นที่สูบบุหรี่

231802-cip

พื้นที่สูบบุหรี่

เลิกเรียนเด็กก็มักจะมาเล่นกีฬากัน เราตีแบดแทบทุกเย็นเลยค่ะ แอ๊วหนุ่ม 555 คืออยากมาเล่นก็มานั่งแบ๊วๆแถวโรงยิม เดี๋ยวก็จะมีคนชวนเองแหละค่ะ บางทีไม้แบดไม่พอเราก็นั่งทำหน้าเป็นหมาหงอย เขาก็เปลี่ยนให้เราเล่นเองค่ะ ฮี่ๆๆ ข้างหลังพื้นที่สูบบุหรี่จะมีหอพักสามอาคารด้วยกัน ถัดไปก็มีสระว่ายน้ำแล้วก็ห้องซักรีดค่ะ สระว่ายน้ำที่นี้น้ำสีฟ้าน่าเล่นมากกก แต่เราว่ายน้ำไม่เป็น 555 แล้วก็มีstudy hall สำหรับนักเรียนที่ไม่อยากอ่านหนังสือทำการบ้านในห้อง แต่หลายคนที่ไปเพราะว่าประหยัดแอร์ในห้องอ่ะค่ะ 555

แชร์ประสบการณ์

สระว่ายน้ำที่ CIP ฟิลิปปินส์

แชร์ประสบการณ์

อาหารมื้อแรกที่กิน

ปล. รูปพวกนี้เราถ่ายตอนเช้าวันที่สองที่เรามาถึงค่ะ น่าจะช่วงเช้าเลยยังไม่มีคน ถ่ายด้วยกล้องมือถือเราเองค่ะ เราถ่ายภาพไม่ค่อยสวยต้องขออภัยด้วยค่ะ

ข้อดีของการฝึกงานที่นี่

Native Teachers

เท่าที่ทราบโรงเรียนนี้น่าจะเป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษเดียวที่มีครูต่างชาติค่ะ (ในหมู่สถาบันที่ที่เอเจนซี่ที่เราสมัครมีเครือข่ายน่ะค่ะ) แล้วครูที่นี่คือเป็นกันเองมาก ทำให้เด็กไม่เกร็ง เหมือนถูกเทรนมาให้ดูแลนักเรียนด้วยไม่ใช่แค่สอนน่ะค่ะ อ้อ แล้วที่นี่มีระบบครูบัดดี้ด้วยนะคะ เขาจะคอยให้คำแนะนำปรึกษา เราเป็นสต๊าฟเรียนสามชั่วโมงต่อวันก็ยังมีครูบัดดี้เลยค่ะ

นักเรียนหลายเชื้อชาติ

เท่าที่เจอมาก็มีเกาหลี ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม แล้วก็ไทยค่ะ มีโคลัมเบียด้วยค่ะ แต่มีอยู่แค่คนเดียว เท่าที่คุยกับพี่สต๊าฟคนอื่นเห็นเคยมีสเปนมาด้วย แต่นานน๊านนนจะมาที555  นักเรียนที่นี่มีทุกช่วงวัยค่ะ ตั้งแต่9ขวบยัน 60 ทั้งนักเรียนทั้งคนทำงาน แล้วคนที่นี่จะค่อนข้างเฟรนด์ลี่ค่ะ คือถึงไม่เคยคุยกันส่วนใหญ่เดินสวนกันก็จะยิ้มให้หรือเซย์ไฮ บางคนเขาตั้งใจฝึกจริงๆเขาก็จะพยายามนั่งกับนักเรียนชาติอื่นเวลากินข้าวค่ะ ที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติถ้าเวลากินข้าวเราไปขอนั่งจอยด้วย แต่เราเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงชอบนั่งคนเดียว แต่ก็จะมีพี่สต๊าฟหรือเพื่อนคนอื่นๆมานั่งด้วยบ่อยๆก็ไม่เหงาดีค่ะ

ตารางเรียน

เรียนกันจัดเต็มมากค่ะ นักเรียนจะเรียนกัน9คาบต่อวัน คาบละ45นาที พักเบรก5นาที ส่วนใหญ่จะเรียนตัวต่อตัวค่ะ แล้วก็มีgroup class คลาสละไม่เกิน6คน แล้วสามารถเปลี่ยนคลาสเปลี่ยนครูได้ทุกอาทิตย์ค่ะ เขาถือว่านักเรียนเสียเงินมาแล้ว เอาให้สบายใจที่สุดเลย เต็มที่ 555 แล้วที่นี่มีคอร์สเรียนหลายคอร์สมาก มี คอร์สIntensive คอร์สIELTS คอร์ส TOEIC คอร์ส TOEFL คอร์สBusiness และคอร์สสำหรับ Young Leaners ค่ะ

คอร์สที่จะเต็มตลอดคือ IELTS, TOEICแล้วก็TOEFLค่ะ พวกที่เรียนคอร์สนี้จะเครียดนึดหนึ่งเพราะหนักมาก แต่ก็จะพัฒนาได้เร็วกว่าคอร์สอื่น เราอยากเรียนมากค่ะ แต่เต็ม T^T แถมเขาให้เรียนฟรีด้วย ไม่กล้าขออะไรมาก 555 เด็กที่นี่จะสื่อสารได้ในระดับหนึ่งแล้ว ก็ค่อนข้างสบายค่ะ คุยกันง่าย หลายคนจบแล้วก็กลับมาเรียนต่อค่ะ มีนักเรียนคนหนึ่ง ตอนแรกก็เป็นนักเรียน แล้วเปลี่ยนเป็นสต๊าฟ หมดช่วงสต๊าฟก็มาเป็นนักเรียนต่อ รวมแล้วคือ11เดือนเลยค่ะ เราฟังแล้วแบบ เห้ยยยยยย ย้ายมาอยู่นี่เลยมั้ย 555

ความปลอดภัย

ถึงหลายคนจะได้ยินว่าฟิลิปปินส์อันตราย แต่ในสถาบันนี้ค่อนข้างปลอดภัยมากค่ะ ทำไมเราถึงคิดงั้นเหรอคะ เพราะเราเป็นสต๊าฟ ซึ่งสต๊าฟต้องมีเวรเดินตรวจกันทุกวันค่ะ แล้วก็มีสต๊าฟคนฟิลิปปินส์คนหนึ่งที่ทางสถาบันพึ่งจ้างมาเดินตรวจโดยเฉพาะ ต้องเดินตรวจทุกชั่วโมงเลยค่ะ เช้า กลางวัน เย็น หลังเที่ยงคืน สต๊าฟก็อยู่หอเดียวกับนักเรียนด้วยค่ะ มีอะไรเคาะห้องได้ตลอด

มีกิจกรรม

ทุกวันอาทิตย์ที่สองของเดือนจะมีกิจกรรมไปพบคนฟิลิปปินส์ดั้งเดิมหรือที่เรียกว่าAETAค่ะ คือลักษณะจะคล้ายคนผิวสี อยู่ในชนบทและความเจริญยังไม่ค่อยเข้าถึงค่ะ ทางโรงเรียนก็มีรถพานักเรียนไปแจกของและทำกิจกรรมค่ะ วันอาทิตย์ที่สี่มีกิจกรรมไปบ้านเด็กกำพร้า  และทุกเย็นวันอังคารมีกิจกรรมเต้นซุมบ้า โดยครูบัดดี้ของเราเป็นคนสอนเต้นเองค่ะ 555

มีชั้นเรียนเสริมค่ะ

เข้าเรียนได้ฟรี เช้า กลางวัน เย็น บางคนขยันก็เข้าทั้งเช้า กลางวัน เย็นเลยค่ะ แล้วก็มีวันอาทิตย์ด้วย ส่วนเราเหรอคะ เคยเข้าแค่ครั้งเดียวค่ะ แล้วก็ไม่ได้แหยมหน้าเข้าไปอีกเลย 555

ข้อเสียของการฝึกงาน

— ไม่ค่อยมีที่เที่ยวค่ะ

คือมันกึ่งๆ ชนบท ก็มีห้างสรรพสินค้า2-3แห่งค่ะ ห้างก็ใหญ่โตอลังการอยู่ แต่ก็มีเท่านั้นแหละค่ะ 555 เพราะฉะนั้นนักเรียนส่วนใหญ่จึงนิยมจัดทริปรวมกลุ่มเที่ยวต่างจังหวัดกันค่ะ แต่เราว่ามันก็ดีนะ จะได้ไม่เปลืองเงินเที่ยวบ่อย แล้วไปเที่ยวทีคือจัดเต็มเลย ไปต่างจังหวัด ไปดำน้ำ โต้คลื่นไรงี้ และคนที่อยากโฟกัสเรื่องการเรียนจริงๆเลยก็จะได้โฟกัสได้เต็มที่เลยค่ะ

อันนี้เป็นข้อเสียที่เราเจอนะคะ เรื่องอื่นยังไม่เคยได้ยินค่ะ อ้อ แล้วก็อากาศร้อนค่ะ ถ้าทนอากาศในบ้านเราได้ที่นี่ก็จิ๊บๆ ค่ะ ยังไงในอาคารเรียนกับหอพักก็มีแอร์ค่ะ

กฎ ระเบียบต่างๆ

กฎที่นี่ค่อนข้างเยอะค่ะ แต่ก็เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน และจะทำอะไรต้องทำตามระบบค่ะ จะไปค้างคืน จะเปลี่ยนชั้นเรียน เปลี่ยนอาจารย์ก็จะมีขั้นมีตอนค่ะ ที่นี่มี Curfew time ด้วย คือถ้าวันถัดไปไม่มีเรียนจะกลับได้ไม่เกินห้าทุ่ม ถ้าวันถัดไปมีเรียนกลับได้ไม่เกินเที่ยงคืนไรงี้ เอาเป็นว่าชีทปฐมนิเทศมี12หน้าภาษาอังกฤษอ่ะค่ะ แล้วเราเอามาแปลเป็นภาษาไทยได้15หน้า 555 มันก็ดีค่ะ สต๊าฟก็ทำงานง่ายเพราะทุกอย่างมีบอกไว้ในชีทเป๊ะๆ ลยว่าถ้าจะทำอะไรมันต้องมีขั้นมีตอนยังไงบ้าง

3.2 ตารางชีวิตนักเรียน

— ชีวิตนักเรียนที่นี่เราว่าค่อนข้างสบายค่ะ ตื่นเช้ามากินอาหารเช้าที่โรงอาหาร แล้วก็เข้าเรียน ก็จะมีคาบว่างบ้าง แต่เปลี่ยนก็คนละ 9 คาบต่อวันค่ะ เรียนครึ่งเช้า พักกินมื้อเที่ยง เรียนครึ่งบ่ายก็เลิกเรียน หลังจากนี้บางคนก็เล่นกีฬาในโรงยิม บางคนก็จะไปทำการบ้านต่อที่study hall บางคนก็รวมกลุ่มกับเพื่อนไปข้างนอก บางคนก็ไปเที่ยวตามตารางรถบัสของโรงเรียน   วันหยุดก็จะมักจะจัดทริปไปเที่ยวกัน หรือไม่ก็ไปร่วมกิจกรรมที่บอกไว้ข้างบนน่ะค่ะ คนเวียดนามจะค่อนข้างชอบชีวิตที่นี่เพราะเขาบอกที่ประเทศเขาเรียนกันเครียดมาก เพื่อนก็ไม่ค่อยมีเพราะการแข่งขันสูง เลิกเรียนก็หันหน้ากลับบ้านอ่านหนังสือ คนเวียดนามหลายคนไม่ค่อยอยากกลับค่ะ

3.3 ตารางชีวิตสต๊าฟ

สำหรับสต๊าฟนี่คือทำงานและทำงานค่ะ แต่มีสต๊าฟหลายคนก็เลยไม่หนักมากนัก แต่ช่วงหลังว่างต้องมาประจำที่สำนักงาน ทำงาน8.30-18.00ค่ะ พักเบรกช่วงกลางวัน1ชั่วโมงเหมือนออฟฟิศทั่วไป แล้วถ้ามีเรียนก็ไปเรียนค่ะ ซึ่งก็ตารางเรียนสต๊าฟจะสลับกัน บางคนเรียนครึ่งเช้า บางคนเรียนครึ่งบ่าย ก็จะมีเดินตรวจกะกลางคืนบ้างอาทิตย์ละวันสองวัน ประมาณนี้ค่ะ หน้าที่หลักของเราคือการแปลงาน แล้วก็ดูแลสารทุกข์สุขดิบนักเรียนค่ะ คอยไปตามช่างเวลามีอะไรเสียในห้องพักนักเรียน คอยเช็คเวลาพนักงานทำความสะอาดทำความสะอาดห้องพัก อาจต้องไปรับนักเรียนที่สนามบินช่วงเสาร์อาทิตย์บ้าง ก็สนุกดีค่ะ ระหว่างรอนักเรียนก็ได้ไปตะลอนเที่ยวมะนิลา  คือบอกได้แค่คร่าวๆค่ะว่าทำอะไรบ้าง ไม่สามารถลงรายละเอียดลึกๆได้ เพราะทางสถาบันไม่ให้เปิดเผยข้อมูลของระบบงานค่ะ

3.4 สิ่งที่ได้จากการฝึกงานที่นี่

ความมั่นใจ

จริงๆเราก็เป็นคนมั่นใจในตัวเองในระดับหนึ่งอยู่แล้ว มานี่มั่นใจขึ้นอีกพันเปอร์เซ็นต์ค่ะ 555 คือไม่ได้มั่นใจว่าตัวเองดีเด่อะไรนะคะ แต่มีความกล้าขึ้น ไม่รู้ก็ไม่อายที่จะถาม คืออยู่ที่นี่ระบบค่อนข้างระเอียด เราจะคอยถามพี่สต๊าฟคนนั้นคนนี้ตลอด แล้วเวลาเราไปเที่ยวเราก็จะถามทางคนฟิลิปปินส์ตลอดจน ตอนนี้ไม่กลัวชาวต่างชาติเลยค่ะ แล้วเราเป็นสต๊าฟต้องดูแลนักเรียนด้วยเราก็เลยมักจะเป็นฝ่ายชวนนักเรียนคุย คอยถามไถ่ และคอยแก้ปัญหาให้ ตอนนี้สำหรับเราชาวต่างชาติกับคนไทยไม่ต่างกันเลยค่ะ ถึงภาษาอังกฤษเราอาจจะยังไม่เป๊ะ แต่เราก็ไม่อายที่จะพูด ที่จะชวนคุยก่อน แล้วก็ดูแลตัวได้ค่ะ ตอนนี้ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด และชอบไปคนเดียวด้วยซ้ำค่ะ ไม่อยากรอใคร 555

ภาษา

เราว่าภาษาเราพัฒนาขึ้นนะคะโดยเฉพาะการพูด เพราะพูดภาษาอังกฤษทั้งวันค่ะ แถมได้เรียนวันละสามคาบด้วย แล้วยังต้องแปลเอกสารด้วย ก็ได้ฝึกหลายทักษะค่ะ

ความอดทน

อันนี้ได้เยอะมากกกกกกกค่ะ ทำงานมันก็ต้องมีสิ่งที่ไม่ชอบใจบ้าง บางครั้งก็นักเรียน บางครั้งก็เพื่อนร่วมงาน แต่ด้วยสถานะเราตอนนี้มันไม่สามารถยอมแพ้แล้วแพ็คกระเป๋ากลับบ้านได้ มันก็ต้องอดทนและพยายามแก้ปัญหาหรืออยู่กับปัญหาจนมันผ่านไป ตอนนี้ปัญหาอะไรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วค่ะ อย่างวันแรกที่เรามาแอร์เสีย เรานี่ร้องไห้เลยค่ะ 555 ตอนนั้นพึ่งมาถึง มาตัวคนเดียว กลัวก็กลัว คิดถึงบ้าน อากาศร้อน นอนร้องไห้เลย ถถถ ตอนนี้แอร์เสียเหรอ ปีนขึ้นโต๊ะไปดึงปลั๊กอร์ออกแล้วเสียบใหม่ กดชักโครกไม่ลงเหรอ ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ตามช่าง วันนี้ไปใช้ห้องเพื่อน แมลงเข้าห้องแล้วเมทกลัว เราเอามือตะปป แล้วเอาไปปล่อย 555 เรียกได้ว่า สวย ถึก และบิกบึนค่ะ 555

ความเป็นผู้ใหญ่ คือมาคนเดียว มาในสถานะคนทำงาน ด้วยหน้าที่ต้องดูแลคนอื่น มันเลยทำให้เรานิ่งขึ้น ใจเย็นขึ้น และคิดก่อนทำก่อนพูดมากขึ้นค่ะ เวลามีปัญหามันไม่ใช่ไปตั้งสเตตัสด่าที่ทำงานในเฟสบุ๊คแล้วให้คนกดไลค์ (ซึ่งจะมีปัญหากับทางสถาบันได้)หรือไปฟ้องคนนู้นคนนี้ให้มาจัดการ ด้วยสถานะมันทำให้เราต้องเคลียร์ปัญหาเอง และต้องเคลียร์ปัญหาให้คนอื่นด้วย และได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง คนต่างชาติที่เราเคยกลัวที่จะสื่อสารด้วยจริงๆเขาก็มีความกลัวเหมือนกันนะ ยิ่งคนมาใหม่มักจะอาย ไม่กล้าพูด บางคนก็ยังทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าไปนู่นนี่คนเดียว เราก็ต้องคอยดูแลคอยแนะนำ ก็ถือว่าการฝึกงานครั้งนี้และชีวิตที่นี่ดึงความเป็นผู้ใหย่ของเราออกมาได้เยอะเลยค่ะ

3.5 เรื่องราวที่อยากจะเล่า

เอาเรื่องประทับใจก่อนแล้วกันค่ะ

คือวันหนึ่งเราป่วย ทำงาน เรียนไม่ไหว เราก็เลยขออนุญาตผู้จัดการหลาหยุดแล้วก็นอนตายอยู่ในห้องทั้งวัน ปกติผู้จัดการเราจะยุ่งๆทั้งวัน แล้วก็ไม่ได้มุ้งมิ้งอะไรกับพนักงานเท่าไร คือผู้จัดการเราจะค่อนข้างซีเรียสเรื่องงาน คุยกันก็มักจะมีแต่เรื่องงาน แต่วันที่เราป่วยอ่ะค่ะ ช่วงเย็นๆเราเช็คในกรุ๊ปแชท เห็นผู้จัดการบอกให้คนในครัวช่วยทำข้าวต้มให้แล้วเอาไปให้เราด้วยถ้าเรากินอะไรไม่ได้ แล้วก็ยังส่งข้อความส่วนตัวมาด้วยให้เราดูแลตัวเองด้วย จริงๆเราต้องไปรับนักเรียนที่มะนิลาวันถัดไป ซึ่งเราบอกผู้จัดการว่าเราไหวนะ แต่ผู้จัดการก็เปลี่ยนตารางให้คนอื่นมาทำแทนแล้วให้เราทำงานในออฟฟิศแทน แล้วพอเราออกไปกินข้าวที่โรงอาหาร คนทำครัว และเพื่อนๆก็ทักกันใหญ่ว่าเป็นอะไรรึเปล่า ดีขึ้นมั้ย เพื่อนร่วมงานก็เป็นห่วง มาถามไถ่ตลอด เลยทำให้ไม่รู้สึกว่าอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วค่ะ 555

เล่นกีฬากับเพื่อนต่างชาติ

เนื่องจากเราน้ำหนักขึ้นทุกวันๆเลยต้องพยายามหาทางออกกำลังกายค่ะ 555 เราก็ไปตีแบด แต่ไม้แบดมีจำกัด ปรากฏว่าพอไปโรงยิม เพื่อนชาติอื่นที่เขาเล่นอยู่พอเขาเห็นว่าเขาเล่นได้สักพักแล้วมีคนมารอ เขาก็จะเปลี่ยนให้คนอื่นได้เล่นบ้างค่ะ ไม่มีใครครองไม้คนเดียว แล้วตอนแรกเรานัดตีแบดกับแค่นักเรียนไทย เอาเข้าจริงตีกับทุกชาติเลยค่ะ 555เพราะแต่ละคนก็หมุนเวียนสลับกันมา แล้วไม่มีการข่มกันหรือเหยียดกัน ตีดีไม่ดีก็ยิ้มเฮฮาไว้ก่อนบางคนนี่ไม่เคยคุยกันเลย ก็ได้มาหัวเราะด้วยกันในสนามแบดมินตันค่ะ

อันนี้ไม่ประทับใจ

ออกแนวน่ากลัวค่ะ คือเราเคยไปห้างกับเพื่อน แต่แยกกันเดิน แล้วเราเดินอยู่คนเดียว ก็มีผู้ชายคนผิวสีรูปร่างท้วมมีอายุคนหนึ่งมาเดินชนหลังเราตอนเราเลือกเสื้อผ้าอยู่ เขาก็ทำเป็นขอโทษแล้วก็ยิ้มให้เราตาเยิ้มเชียวค่ะ เขาพยายามจะขยับเข้ามาใกล้มาพูดอะไรสักอย่างแต่เราว่าดูcreepyเลยเดินหนีค่ะ แล้วเขาก็เดินตามเราในร้านพักหนึ่งแล้วก็ไปดักอยู่หน้าประตูร้านซึ่งมีประตูเดียว ตอนนั้นเรากลัวมากเลยตัดสินใจเดินออกจากร้านซึ่งต้องผ่านเขา แล้วเขาก็เข้ามาประกบแล้วโชว์สร้อยทองที่ใส่อยู่ พร้อมกับเสนอเงินให้เราไปกับเขาค่ะ ตอนนั้นเราตกใจมาก นึกคำตอบโต้ไม่ทัน ได้แต่ส่ายหัวแล้วเดินหนีไปค่ะ ตอนนั้นกลัวมากจริงๆ เพราะห้างใหญ่มาก หาเพื่อนไม่เจอ เพื่อนไม่มีซิมโทรศัพท์ของฟิลิปปินส์ด้วย แต่เขาไม่ได้เดินตามมาก็เลยรอดไปค่ะ แต่เอาจริงๆ มาอยู่นี่โดนแอ๊วบ่อยนะคะ แต่ไม่เคยโดนแบบน่ากลัวเท่านี้ สงสัยคนที่จะตาถึงค่ะ

จบแล้วค่ะ!

ปกติอ่านอย่างเดียววันนี้ขอมาแชร์ประสบการณ์บ้าง เผื่อใครสนใจหาที่ฝึกงานหรือหาที่เรียนอยู่อาจจะสนใจอยากทราบอะไรเพิ่มเติมก็หลังไมค์มาได้นะคะ เราเล่าตามประสบการณ์ที่เราเจออยู่ ก็อาจจะตรงหรือไม่ตรงกับคนที่เคยเรียนที่นี่บ้าง ตอนนี้เราทำงานครบหนึ่งเดือนแล้ว เหลืออีกสองเดือน ช่วยอวยพรให้เราอยู่รอดปลอดภัยด้วยนะคะ 555 ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ

Life is the most profound art / 24 มิ.ย. 2558

ที่มาจาก: pantip.com/topic/33831254