ความเชื่อ เรื่องลี้ลับ เรื่องเล่า

6 ตำนานสุดเฮี้ยน มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

Home / เรื่องเล่ามหาวิทยาลัย / 6 ตำนานสุดเฮี้ยน มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เป็นสถานศึกษาที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน มีอายุมากกว่า 100 ปี โดยเริ่มแรกในปี พ.ศ.2439 ก่อตั้งเป็นโรงเรียนราชวิทยาลัย หรือโรงเรียนบ้านสมเด็จเจ้าพระยา หลังจากนั้นก็พัฒนามาเป็นโรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา และจนมาถึงในปัจจุบันนี้ก็กลายมาเป็น มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งสถานที่ตั้งเดิมของมหาวิทยาลัยนั้นเคยเป็นจวนและที่ดิน ของ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ หรือ ท่านช่วง บุนนาค ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเมื่อต้นรัชกาลที่ 5 มาก่อน แต่ที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเรื่องเล่าขาน เรื่องลึกลับ ที่ในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ จะมีเรื่องอะไรบ้างนั้น ถ้าใจกล้าแข็งพอก็มาอ่านกันได้เลย

ตำนานเฮี้ยน มบส.

เรื่องเล่า มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

1. อาคารวิเศษศุภวัฒน์ (อาคารดนตรีไทย)

ซึ่ง ดร.สุดารัตน์ ชาญเลขา รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้เล่าเรื่องของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ว่าอาคารวิเศษศุภวัฒน์เป็นอาคารดนตรีไทย มีเศียรบรมครูหลายชนิด มีเครื่องเล่นดนตรีไทยหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นระนาดเอก กลอง ปี่ ขลุ่ย ฆ้อง ฯลฯ

เมื่อสมัยก่อนที่นี้เคยเป็นหอพักชาย มีนักศึกษาโดดออกไปเที่ยวด้านนอกหลายครั้ง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งนักศึกษากลุ่มนั้นกำลังจะหนีออกไปเที่ยวกัน แต่กลับพบว่ามี “เจ้าพ่อ” (ท่านช่วง บุนนาค) ยืนถือดาบขวาง ใส่ชุดสีขาวกั้นไม่ให้ออกไปด้านนอกและทำสีหน้าขึงขังดูน่ากลัวมาก กลุ่มนักศึกษาก็ได้ไปขอขมากับเจ้าพ่อ จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าโดดออกไปเที่ยวด้านนอกอีกเลย

นอกจากนี้ยังมีคนงาน นักการภารโรง ที่พักอยู่บริเวณตึกดังกล่าว ในเวลากลางคืนมักจะได้ยินเสียงระนาด หรือไม่ก็เป็นเสียงดนตรีไทยเต็มวงแทบทุกคืน บางครั้งอาจารย์ประจำภาควิชา ยังเคยเห็นชายรูปร่างใหญ่กำยำ เดินผ่านไปมาในห้องปฏิบัติ แต่พอเดินออกมาดูก็พบว่า กุญแจที่คล้องอยู่หน้าประตูไม่ได้เปิดแต่อย่างใด บางครั้งที่ไฟดับ ก็จะได้ยินเสียงดนตรีไทยออกมาเป็นระยะๆ แทบทุกวันเช่นกัน

2. สำนักงานศิลปวัฒนธรรมและหอประชุม

ถัดมาเป็นสำนักงานศิลปวัฒนธรรมและหอประชุมที่มีตำนานเล่าขานกันมาว่า พระภิกษุสงฆ์ หรือผู้มีสัมผัสที่ 6 ที่เข้ามาบริเวณห้องประชุมกล่าวจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าในห้องประชุมมีวิญญาณของเจ้าพ่อสิงสถิตอยู่ แต่ที่เจอกับตัวเองเลยก็มีอาจารย์สอนพิเศษอยู่ท่านหนึ่ง ท่านมาสอนวิชาขับเสภา ระหว่างที่ท่านเดินไปเข้าห้องน้ำก็ได้ยินเสียงผู้ชายพูดว่า อยากฟังเสภา ขยับกรับให้ด้วย อาจารย์จึงเดินกลับมาที่ห้องประชุม และให้นักศึกษาทุกคนเงียบ จากนั้นอาจารย์ก็ขับเสภาจนจบเพลง

3. บ้านเอกะนาค

สําหรับบ้านเอกะนาค ที่ถูกเรียกขานอย่างไม่เป็นทางการว่า “บ้านผีสิง” นั้น สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2462 ตรงกับในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นบ้านเรือนไทย ทรงปั้นหยา ของ พ.ต.อ.พระยาประสงค์สรรพการ (ยวง เอกะนาค) ตำแหน่งรองอธิบดีกรมตำรวจในสมัยนั้น ต่อมาบ้านหลังนี้ได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุตรสาว คือ คุณประยูร เอกะนาค ซึ่งเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เนื่องจากบุตรสาวของท่านไม่มีทายาทสืบสกุล บ้านหลังนี้จึงตกเป็นของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ตามพินัยกรรมที่ได้ระบุไว้ว่า หากไม่มีทายาทสืบต่อแล้ว ก็ให้บ้านหลังนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโรงเรียนมัธยมบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (ณ เวลานั้น)

ในเวลาต่อมา มหาวิทยาลัยได้ปรับปรุงซ่อมแซมตัวบ้าน ให้สมบูรณ์เหมือนเดิม ทั้งภายในตัวบ้านและภูมิทัศน์โดยรอบ และใช้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฝั่งธนบุรี ภายในพิพิธภัณฑ์ศูนย์กรุงธนบุรีศึกษา ประกอบด้วยห้องจัดแสดงทั้งหมด 10 ห้อง

เหตุการณ์ชวนขนหัวลุกที่เล่าต่อกันมา คือ นักศึกษาที่เข้ามาถ่ายรูปบริเวณบันไดด้านหน้า พอถ่ายรูปเสร็จนำรูปไปล้าง และนำมาดูพบว่าในภาพนั้นมีหญิงชรา นุ่งผ้าโจงกระเบน ตัดผมทรงดอกกระทุ่ม กำลังก้าวขึ้นไปบนบ้านหลังนั้น อาจารย์นำรูปของคุณประยูรมาเทียบกับรูปที่ถ่ายไว้ พบว่าลักษณะรูปร่างและใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านมาก หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่ประมาณ 2-3 ครั้ง

นายสุชาครีย์ ก่อเกียรติตระกูล หัวหน้างานอาคารและสถานที่ เล่าว่า ตอนที่เข้ามาทำงานในช่วงแรกๆ บริเวณด้านหลังอาคาร 100 ปี ศรีสุริยะวงศ์ มีกอกล้วยตานีรกมาก ทางอธิการบดีจึงมีคำสั่งให้ตัดกอกล้วยนั้นทิ้ง โดยมีคนงานของบริษัทรับเหมาก่อสร้างมาตัด หลังจากตัดต้นกล้วยตานีได้ 1 ต้น คนงานคนดังกล่าวก็กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านแล้ว คนงานดังกล่าวแสดงกิริยาอาละวาด โวยวาย เหมือนถูกผีเข้า ญาตินำไปหาร่างทรง คนงานบอกว่ามาตัดเขาทำไม เขากำลังตั้งท้องอยู่ ต่อไปนี้ห้ามคนงานคนนี้เข้ามาที่มหาวิทยาลัยเด็ดขาด

“ผมและคนงานก็ได้ไปขอขมา หลังจากขอขมาเสร็จก็ไปดูที่ลำต้นกล้วย ก็พบว่ามียางคล้ายๆ เลือดซึมออกมาอยู่ตลอดเวลา จึงได้ทำเป็นศาลเพียงตา และใช้ผ้า 3 สี ผูกบริเวณกอกล้วย” นายสุชาครีย์กล่าว หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทราบว่าต้นกล้วยดังกล่าวเป็นต้นกล้วยที่นำมาจากพิธีไหว้ครู แล้วนำมาลงไว้ที่บริเวณนี้

4. ห้องโถง อาคารวิเศษศุภวัฒน์

นายธนาศาล ประกายสันติสุข หรือ “เซียะ” อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โปรแกรมวิชาดนตรีไทย เล่าถึงประสบการณ์ว่า ขณะที่ศึกษาอยู่ปี 2 วันที่เกิดเหตุเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งต้องออกไปแสดงงานด้านนอก อาจารย์นัดตอน 08.00 น. จึงได้เข้ามาที่อาคารวิเศษศุภวัฒน์ เพื่อซ้อมดนตรีไทยกับเพื่อนก่อนขึ้นแสดงจริง

ระหว่างนั้นมีเพื่อนไปเข้าห้องน้ำ หลังจากทำธุระเสร็จต้องเดินผ่านห้องโถงที่มีเครื่องดนตรีไทย เรียกว่า “เครื่องมอญ” ประกอบด้วย ฆ้องมอญ 4 วง ระนาดเอก ระนาดทุ้ม เปิงมางคอก ตะโพน ซึ่งมีอายุตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จังหวะที่เดินกลับนั้น พอดีประตูห้องโถงเปิดอยู่ สายตาที่มองเข้าไปในห้องโถง พบชายผิวเข้ม ใส่เสื้อขาว นุ่งโจงกระเบนขาว นั่งมองหน้าอยู่ จึงรีบวิ่งออกมา หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์อย่างเดียวกันอีกหลายครั้ง จนกระทั่งอาจารย์ที่ซื้อเครื่องมอญชุดนั้นมา เล่าที่มาของเครื่องมอญให้ฟังว่า เครื่องดนตรีชุดนี้เจ้าของเขาตายแล้ว แต่ลูกนำเครื่องดนตรีมาขาย เจ้าของหวงเครื่องดนตรีชุดนี้มาก …

เซียะยังเล่าต่ออีกว่า เมื่อครั้งงาน 117 ปี บ้านสมเด็จเจ้าพระยา มีการแสดงเยอะมาก ซึ่งคนที่ต้องแสดงส่วนใหญ่ต้องขึ้นมาแต่งตัวที่ห้องโถงดังกล่าว มีผู้หญิงเรียนอยู่ที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ เข้าไปเล่นเครื่องดนตรีชุดนี้ แล้วเล่นอย่างแรงมาก หลังจากเสร็จงาน ผู้หญิงคนนั้นก็กลับบ้าน ระหว่างที่นอนอยู่ก็รู้สึกอึดอัดตัวเอง จึงลืมตาขึ้น พบว่ามีชายผิวเข้ม ใส่เสื้อขาว นุ่งโจงกระเบนสีแดง ขึ้นไปเหยียบอกและชี้หน้า พอวันรุ่งขึ้นผู้หญิงคนนั้นมาปรึกษาอาจารย์ ก็เลยให้ผู้หญิงคนนั้นไปจุดธูปขอขมากลางแจ้ง นอกจากนี้ยังมีนักการภารโรงบางคนเห็นเจ้าพ่อ ที่บริเวณศาลด้านหน้าอาคารดังกล่าว บางคนก็ได้ยินเสียง บางคนก็เห็นเป็นเงา

“โดยส่วนตัวแล้วเชื่อเรื่องนี้มาก เพราะเคยบนกับเจ้าพ่อไว้ว่าขอให้เรียนจบตามเกณฑ์ ซึ่งในช่วงแรกๆ ก็มีปัญหาเรื่องการเรียนหลายอย่าง หลังจากบนไปแล้วเกรดก็เริ่มทยอยออกเรื่อยๆ ผมก็ซื้อดอกดาวเรืองกับเป๊ปซี่ไปถวายเจ้าพ่อ” เซียะกล่าว

5. ศาลพระภูมิประจำสถาบัน

นอกจากนั้นยังมีศาลพระภูมิประจำสถาบัน หรือที่เรียกกันว่า “ศาลพ่อปู่” ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังอาคารเฉลิมพระเกียรติ ที่นักศึกษาใหม่ทุกรุ่นจะต้องไปเคารพสักการะ เชื่อกันว่าหากนักศึกษาคนใด ต้องการที่พึ่งพิงทางใจในเรื่องต่างๆ สามารถมาขอพรกับพ่อปู่ได้

6. ชั้น 15 ตึกคณะนิเทศศาสตร์

เมื่อ 10 กว่าปีก่อน มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งถูกข่มขืนและถูกฆ่าตายที่ชั้น 15 ตึกคณะนิเทศศาสตร์ ทำให้ปัจจุบันนี้ไม่มีใครกล้าขึ้นไปชั้นนั้นคนเดียวในช่วงเย็น เพราะวันดีคืนดีอาจได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ หรือบางครั้งเข้าห้องน้ำ แล้วมองออกไปที่กระจก ก็จะเห็นผู้หญิงผมยาวยืนก้มหน้าอยู่ แต่พอเปิดประตูออกไปก็ไม่พบใคร

ปล. ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ทำการบูรณะมหาวิทยาลัยใหม่เกือบทั้งหมด ซึ่งตอนนี้เหลือตึกเก่าแก่อยู่ 3 ตึกเท่านั้น ได้แก่ สำนักศิลปวัฒนธรรมและหอประชุม บ้านเอกะนาค และอาคารวิเศษศุภวัฒน์

—————————————————————

*** เรื่องเล่าที่เรานำมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันนั้นควรใช้วิจารณาญาณในการอ่านด้วยนะ เพราะเราก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ กับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่เชื่อได้มากแค่ไหน

ที่มา : www.bloggang.com ภาพจาก : http://mapio.net/s/73651052

บทความแนะนำ