U.S. News & World Report (www.usnews.com) เว็บไซต์การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก ผ่านข้อมูลเชิงลึกจาก 1,500 สถาบันการศึกษาชั้นนำจากทั่วโลกที่กระจายอยู่ใน 81 ประเทศ ได้ประกาศผลการจัดอันดับ 9 มหาวิทยาลัยไทยที่ดีที่สุด ประจำปี 2020 หรือ Best Global Universities Rankings 2020 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
9 มหาวิทยาลัยไทยที่ดีที่สุด ประจำปี 2020
จากการจัดอันดับในครั้งนี้ มหาวิทยาลัยที่ได้อันดับ 1 ของโลก ได้แก่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) และมหาวิทยาลัยไทยที่ติดอันดับเข้าไปด้วยจากการจัดอันดับในครั้งนี้ประกอบด้วย 9 มหาวิทยาลัยด้วยกัน โดยมหาวิทยาลัยที่ได้อันดับ 1 ของไทย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากนี้จะมีมหาวิทยาลัยแห่งไหนอีกบ้าง ตามมาดูรายละเอียดกันได้เลย
9 มหาวิทยาลัยไทย ติดอันดับโลก ปี 2020
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ร่วม)
- อันดับ 1 ของไทย
- อันดับ 522 ของโลก
มหาวิทยาลัยมหิดล (ร่วม)
- อันดับ 1 ของไทย
- อันดับ 522 ของโลก
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- อันดับ 3 ของไทย
- อันดับ 893 ของโลก
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- อันดับ 4 ของไทย
- อันดับ 1006 ของโลก
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
- อันดับ 5 ของไทย
- อันดับ 1044 ของโลก
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- อันดับ 6 ของไทย
- อันดับ 1053 ของโลก
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- อันดับ 7 ของไทย
- อันดับ 1059 ของโลก
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- อันดับ 8 ของไทย
- อันดับ 1218 ของโลก
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
- อันดับ 9 ของไทย
- อันดับ 1249 ของโลก
10 อันดับ มหาวิทยาลัยชั้นของโลก ปี 2020
อันดับ 1 ของโลก
- มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University)
อันดับ 2 ของโลก
- สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology)
อันดับ 3 ของโลก
- มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University)
อันดับ 4 ของโลก
- มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (University of California, Berkeley)
อันดับ 5 ของโลก
- มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (University of Oxford)
อันดับ 6 ของโลก
- สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (California Institute of Technology : CalTech)
อันดับ 7 ของโลก
- มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University)
อันดับ 8 ของโลก
- มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University)
อันดับ 9 ของโลก
- มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge)
อันดับ 10 ของโลก
- มหาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington)
อ้างอิงข้อมูลจาก : www.usnews.com