แพทยศาสตร์ หรือมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Medicine เป็นสาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ การรักษาอาการเจ็บป่วย หรือการรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสาขาวิชาที่เรียนยาก และจะต้องมีความขยัน อดทน ในการเรียนสูงเลยทีเดียว เพราะแพทย์ที่จบออกมาจะต้องใช้ความรู้และทักษะความสามารถในการดูแลผู้ป่วยให้หายจากอาการเจ็บป่วยหรือโรคต่าง ๆ
” แพทยศาสตร์ “
ซึ่งการเรียนด้านการแพทย์สามารถแบ่งออกเป็นสาขาวิชา หรือด้านฉพาะทางได้มากมาย เช่น กุมารเวชศาสตร์, อายุรศาสตร์, ศัลยศาสตร์, ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ (ศัลยศาสตร์กระดูก), สูติศาสตร์, นรีเวชวิทยา, โสตศอนาสิกวิทยา, นิติเวชศาสตร์, จักษุวิทยา, จิตเวชศาสตร์,รังสีวิทยา,ตจวิทยา, พยาธิวิทยา, เวชศาสตร์ชุมชน, อาชีวเวชศาสตร์, เวชศาสตร์ฟื้นฟู, เวชระเบียน, เวชสถิติ ฯลฯ และในแต่ละสาขายังแบ่งย่อยเป็นสาขาย่อยลงไปอีกตามอวัยวะหรือกลุ่มของโรค เช่น ศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก, อายุรศาสตร์โรคไต เป็นต้น
- อัปเดต ค่าเทอม คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ ปีการศึกษา 2562
- เรียนเภสัชศาสตร์ 6 ปีต้องเจออะไรบ้าง? เลือกเรียนที่ไหน? จบแล้วทำงานที่ไหน?
อยากเรียนแพทย์ ต้องสอบอะไรบ้าง ?
รับตรงผ่าน กสพท เป็นสนามสอบเข้าเรียนต่อคณะแพทยศาสตร์ (และยังรวมถึงทันตแพทย์ สัตวแพทย์ และเภสัชศาสตร์ อีกด้วย) ซึ่งถือได้ว่าเป็นสนามการสอบแพทย์ที่ใหญ่มาก ๆ โดยเปิดกว้างรับผู้สมัครสอบทั่วทุกจังหวัด ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนเลยว่าใครสามารถสอบ กสพท ได้บ้าง?
1. คณะแพทยศาสตร์ รับทั้งเด็กที่จบสายวิทย์-คณิตฯ และสายศิลป์ ส่วนเด็กซิ่วที่ยังเรียนอยู่ในปี 1 สมัครได้ไม่ต้องลาออก และต้องไม่ศึกษาอยู่ในคณะที่ต้องการสมัครใหม่ด้วย
2. GPAX เกรดเฉลี่ยสะสมระดับ ม.ปลาย
3. ต้องมีคะแนนสอบ 9 วิชาสามัญ ต้องมีวิชาที่ใช้ในการพิจารณาดังนี้
- วิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา) : 40%
- คณิตศาสตร์ 1 : 20%
- ภาษาอังกฤษ : 20%
- ภาษาไทย : 10%
- สังคมศึกษา : 10%
4. คะแนนสอบวิชาความถนัดแพทย์ : 30 %
5. ผลคะแนนสอบ O-NET ( วิทย์ คณิต อังกฤษ ไทย สังคม) รวมกันต้องได้ 60 % หรือ 300 คะแนน (ทั้งนี้คะแนน O-NET จะขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยว่ามีการกำหนดเกณฑ์เอาไว้อย่างไร ซึ่งสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์คณะแพทยศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัยหรือสถาบันได้เลยค่ะ)
** ทั้งนี้เกณฑ์ที่ใช้คัดเลือกในแต่ละปี อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ น้องๆ จะต้องคอยติดตามรายละเอียดของแต่ละมหาวิทยาลัย หรือที่เว็บไซต์ของ กสพท
การสมัครสอบในรูปแบบอื่น ๆ
นอกจากจะมีการรับสมัครผ่านทาง กสพท แล้ว การสมัครเรียนแพทย์ ยังสามารถสมัครเข้าโครงการต่าง ๆ กับทางมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนได้ด้วย ทั้งระบบโควตา มหาวิทยาลัยจะทำการจัดสอบเอง เช่น MD02 ของ ม.ขอนแก่น เป็นต้น : Link คลิกที่นี่, ระบบ Cpird Odod (แพทย์ชนบท) ระบบรับตรง ที่มหาวิทยาลัยเป็นคนจัดสอบเอง เป็นต้น
- คิดก่อนเรียน! ข้อดี-ข้อเสียของการเรียนหมอ ที่เราควรรู้เอาไว้
- 10 อันดับ สาขาแพทยศาสตร์ ที่เรียนจบมาแล้วได้เงินดีแน่นอน
นักศึกษาแพทย์เขาเรียนอะไรกันบ้างใน 6 ปี
ปี 1 : เรียนปรับพื้นฐานกันก่อนเลย
สำหรับในปี 1 จะเป็นปีเดียวที่จะได้เรียนเหมือนเด็กคณะอื่น ๆ คือ เรียนตามตารางเรียนประมาณ 8.00 น.-16.00 น. (บางวันอาจจะเรียนเต็มวัน ส่วนในบางวันอาจจะเรียนแค่ครึ่งวัน) ทำให้ยังพอมีเวลาในการทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ ส่วนวิชาที่จะเรียนในปี 1 นี้ ก็จะเป็นวิชาเรียนคล้าย ๆ กับตอน ม.ปลาย เลย คือจะเน้นวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ (ที่ใช้ในการแพทย์) เป็นหลัก แต่ว่าจะเรียนลงลึกมากยิ่งขึ้นและยากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นจึงทำให้การเรียนในปี 1 นั้น ดูเบาไปเลย แถมยังมีเวลาว่างให้ได้ทำสิ่งต่าง ๆ อีกด้วย
ปี 2 : ก้าวแรกสู่การเรียนแพทย์
พอขึ้นปี 2 จะเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ทางการแพทย์ เพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าปี 1 เยอะเลยทีเดียว โดยเนื้อหาในปีนี้ จะได้เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกาย และระบบการทำงานของร่างกายอย่างละเอียด อาทิ ระบบประสาท ระบบเลือด ฯลฯ (ซึ่งเรียกได้ว่าจะต้องรู้ลึกไปถึงกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายว่ามีหลอดเลือดชนิดไหนบ้าง ที่ไปหล่อเลี้ยงให้สามารถทำงานได้ตามปกติ) นอกจากนี้ยังจะต้องเรียนรู้ในวิชาอื่น ๆ อีก เช่น วิชาทางกายวิภาค สรีรวิทยา พันธุศาสตร์ เป็นต้น พร้อมทั้งยังจะได้พบกับอาจารย์ใหญ่และกล่าวคำปฏิญาณ อีกด้วย
ปี 3 : ร่างกายของเราป่วยได้อย่างไร
พอขึ้นมาปี 3 ก็จะเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการเจ็บป่วย หรือทำให้ร่างกายผิดปกติ ทั้งการเรียนรู้จักกับเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ สาเหตุของการเกิดโรค เช่น หลักภูมิคุ้มกันวิทยา, ปรสิตวิทยา, พยาธิทั่วไป, เวชศาสตร์ชุมชนฯ เป็นต้น และนอกจากนี้ยังเรียนเกี่ยวกับยาชนิดต่าง ๆ ที่ใช้ในการรักษาโรค (ระดับพื้นฐาน) อีกด้วย
และที่สำคัญในชั้นปีนี้ จะต้องเจอเรื่องยากอีกหนึ่งเรื่องก็คือ การสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่ 1 ซึ่งจะทำการสอบตอนจบปี 3 เป็นการสอบความรู้ที่ได้เรียนมาตลอดทั้ง 3 ปี โดยข้อสอบจะเป็นแบบตัวเลือกทั้งหมด แบ่งการสอบออกเป็นรอบเช้า 150 คะแนน และรอบบ่าย 150 คะแนน รวมเป็น 300 คะแนน ถ้าสอบไม่ผ่านในรอบแรก สามารถสอบซ่อมได้อีกหนึ่งรอบ (ซึ่งเนื้อหาเยอะมาก ที่จะต้องจำและทำความเข้าใจให้ดี)
ปี 4 : เริ่มใกล้คำว่าแพทย์มากขึ้น ได้ดูแลคนไข้แล้ว
บอกลาการปิดเทอมไปได้เลย เพราะการเรียนในปีนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่จะเรียนรู้บนหอผู้ป่วย (วอร์ด) ซึ่งจะเป็นการเรียนรู้จากผู้ป่วยโดยตรง โดยจะเป็นการแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ เพื่อไปดูแลผู้ป่วยตามวอร์ดตลอดทั้งปี ในแต่ละวอร์ดจะมีเนื้อการเรียนรู้ที่แตกต่างกันออกไป เช่น วอร์ดสูติ-นรีเวช ก็จะเน้นไปที่โรคของผู้หญิง, วอร์ดเด็กก็จะเน้นไปที่โรคที่เกิดขึ้นกับเด็ก เป็นต้น
ในตอนวนวอร์ดน้อง ๆ จะได้รับคนไข้ ซึ่งจะต้องทำการสอบถามประวัติของคนไข้ ตรวจร่างกาย ทำการวินิจฉัยโรค และให้คำแนะนำหรือแนวทางการรักษาโรคในเบื้องต้น โดยจะมีอาจารย์ผู้คุมวอร์ดเป็นคนดูแลและให้ความรู้กับเราอีกที ในการให้คำปรึกษาและแนวทางการรักษาโรคในขั้นลึกลงไป
นอกจากจะมีการเปลี่ยนวอร์ดตลอดทั้งปีแล้ว น้อง ๆ ยังต้องเข้าเวรอีกด้วย ซึ่งจะได้รับมอบหมายให้มีการอยู่เวรนอกเวลาราชการ วันเสาร์-อาทิตย์ หรือในเทศกาลหยุดยาว ทำให้เวลาว่างที่เคยมีก็จะหายไป มีเวลาส่วนตัวน้อยลง ดังนั้นควรที่จะต้องหาวิธีในการปรับตัวให้ดี ไม่งั้นอาจจะเราเรียนไม่ไหวได้นะ
ปี 5 : เรียนหนักขึ้น เพื่อให้ตัวเองเป็นแพทย์ที่เก่ง
สำหรับรูปแบบการเรียนในชั้นปีที่ 5 จะเหมือนกับปี 4 คือแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ และวนไปตามวอร์ดต่าง ๆ ตลอดทั้งปี แต่ก็จะมีความแตกต่างกันตรงที่วอร์ดที่ได้วนกันนั้น จะเป็นวอร์ดที่ยังไม่เคยเจอในตอนปี 4 เช่น แผนกจิตเวช, แผนกนิตเวช เป็นต้น (การวอร์ดในแต่ละสถาบันการศึกษาอาจจะมีความแตกต่างกันออกไป ตามที่สถาบันได้จัดเอาไว้)
แต่ก็แอบโหดอยู่เหมือนกันจากตอนปี 4 อาจจะมาถึงวอร์ดได้ตอน 7 โมง แต่พอขึ้นปี 5 มา อาจจะต้องมาถึงวอร์ดประมาณตี 4 และอยู่จนถึงรุ่งเช้าของอีกวันก็มีนะ และก็ยังต้องมีการเข้าเวรเหมือนปี 4 นอกจากนี้ยังจะได้สอบถามประวัติของคนไข้ ตรวจร่างกาย ทำการวินิจฉัยโรค ให้การรักษาผู้ป่วย ร่วมกับอาจารย์ผู้ควบคุมมากยิ่งขึ้น และยังช่วยเย็บแผล ทำคลอดอีกด้วย
แต่สิ่งที่สำคัญในชั้นปีนี้ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะน้อง ๆ จะต้องเตรียมตัวสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่ 2 ด้วย ซึ่งจะทำการสอบตอนเรียนจบชั้นปี 5 เป็นการสอบความรู้ในชั้นปีที่ 4 และ 5 ที่ได้เรียนมา ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ แบ่งการสอบออกเป็นรอบเช้าและรอบบ่าย รวม 300 คะแนน (ข้อสอบเป็นตัวเลือกแบบขั้นที่ 1)
ปี 6 : เริ่มทำงานจริงแล้ว
ปีสุดท้ายแล้วสำหรับการเรียนแพทย์ น้อง ๆ จะได้ทำงานจริงเหมือนแพทย์ตามโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคนไข้ ทำการรักษาโรค เย็บแผลเอง ทำคลอดเอง ทำการผ่าตัดเล็กเอง (โดยจะมีอาจารย์เป็นผู้ควบคุมดูแลอีกทีอย่างห่าง ๆ) เรียกได้ว่าเป็นปีสุดท้ายที่โหดมากเลยทีเดียว เพราะเมื่อเราขึ้นวอร์ดไปแล้วเราจะต้องทำทุกอย่างเหมือนแพทย์ที่จบไปแล้ว ใช้ความรู้ที่ได้เรียนทั้งหมด และในปีนี้เราสามารถออกไปฝึกที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดได้ด้วย
ที่สำคัญเรายังจะต้องสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่ 3 (ขั้นสุดท้าย) ซึ่งจะทำการสอบตอนจบปี 6 ส่วนของข้อสอบนั้นจะไม่ได้เป็นแบบตัวเลือกเหมือนกับ 2 รอบที่ผ่านมา แต่จะเป็นการสอบแบบออสกี้ (OSCE) ซึ่งเป็นการสอบปฏิบัติแบบมีเสียงกริ๊งกำหนดเวลา มีทั้งหมด 30 ฐาน (มีฐานให้เราได้พักเหมือนกันนะ)
รายชื่อคณะ/วิทยาลัยแพทยศาสตร์ในไทย
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล : Link คลิกที่นี่
- วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สถาบันสมทบของมหาวิทยาลัยมหิดล : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช สถาบันสมทบของมหาวิทยาลัยมหิดล : Link คลิกที่นี่
- กลุ่มนักศึกษาแพทยศาสตร์พระบรมราชชนก สถาบันสมทบของมหาวิทยาลัยมหิดล : Link คลิกที่นี่
- วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า สถาบันสมทบของมหาวิทยาลัยมหิดล : Link คลิกที่นี่
- วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง : Link คลิกที่นี่
- วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ : Link คลิกที่นี่
- สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง : Link คลิกที่นี่
- สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ : Link คลิกที่นี่
- สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี : Link คลิกที่นี่
- วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต : Link คลิกที่นี่
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม : Link คลิกที่นี่
ที่มา : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, www.tiwtactic.com