คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. ที่สำรวจ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม โดยใช้เทคโนโลยี “กล้องสแกนวัตถุสามมิติด้วยแสงเลเซอร์” ประเมินกายภาพพื้นที่ของอาคารสำคัญ เพื่อการบูรณปฏิสังขรณ์และการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ธรรมชาติของสิ่งปลูกสร้าง อาคารบ้านเรือน หรือแม้กระทั่งโบราณสถานเก่าแก่ เมื่อกาลเวลาผ่านไปย่อมมีความชำรุดทรุดโทรมลง หากไม่ได้รับการซ่อมบำรุงที่เหมาะสม อาจจะทำให้เกิดความเสียหายตามมา ในประเทศไทยนั้นมีโบราณสถานที่เป็นปูชนียสถาน ที่มีความสวยงามและทรงคุณค่า ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้เพื่อคนรุ่นหลังอยู่มากมาย บทความ โครงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม โดย มจธ.
โครงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม
เช่นเดียวกับ “ปาสาณเจดีย์” พระเจดีย์ประกบหินอ่อน ของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ซึ่งเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นตามโบราณราชประเพณี เมื่อปีพุทธศักราช 2407 และเป็นวัดประจำรัชกาล
ปาสาณเจดีย์ เจดีย์อายุกว่า 100 ปี
ปาสาณเจดีย์นั้น เป็นพระเจดีย์มีอายุกว่า 100 ปีแล้ว เป็นที่แน่นอนว่า อาจจะต้องมีการบูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์บางส่วนในอนาคต เนื่องจากความเก่าแก่ของพระเจดีย์ ผนวกกับมีการตรวจ พบว่า พื้นที่บริเวณวัดเริ่มมีการทรุดตัว แต่การที่จะบูรณปฏิสังขรณ์ได้นั้นจำเป็นต้องทำอย่างถูกต้องและเหมาะสม เนื่องจากเป็นปูชนียสถานที่เก่าแก่และมีคุณค่า แต่ด้วยความพิเศษของพระเจดีย์ที่เป็นเจดีย์ประกบด้วยหินอ่อน ทำให้ยังมีข้อมูลและองค์ความรู้ที่จำเป็น ในการบูรณปฏิสังขรณ์ที่ไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการบูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์
โดยที่ผ่านมาทางวัดไม่สามารถบูรณปฏิสังขรณ์อะไรได้มากนัก เนื่องจากเกรงว่าการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่นั้น จะมีผลกระทบต่อโครงสร้างที่อาจทำให้พระเจดีย์ และปูชนียสถานใกล้เคียงเกิดความเสียหาย ดังนั้น ทางวัดจึงขอความอนุเคราะห์มาทาง ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ซึ่งมีความสอดคล้องกับ “ โครงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ” จึงได้เป็นความร่วมมือกันระหว่างวัดกับทางมหาวิทยาลัย
โครงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม โดย มจธ. เป็นโครงการที่มีเป้าประสงค์เพื่อนำเทคโนโลยีการสแกนวัตถุสามมิติ และองค์ความรู้ที่ได้จากโครงการวิจัย เรื่องการพัฒนาฐานข้อมูลทางวิศวกรรม เพื่อการประเมินและติดตามสภาพโครงสร้างโบราณสถานของไทย “การบูรณะ โบราณสถานเพื่อรากฐานการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน” ที่ได้รับรางวัลงานวิจัยเด่น สกว. ประจำปี 2561 ด้านสาธารณะ มาต่อยอดสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์วัดไทย
ที่มาของความร่วมมือกับทาง มจธ.
พระครูอุทิจยานุสาสน์ หัวหน้าสำนักงานโครงการบูรณปฏิสังขรณ์ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม กล่าวถึงที่มาของความร่วมมือกับทาง มจธ. ในครั้งนี้ว่า
เนื่องจากได้รับมอบหมายจากเจ้าอาวาสให้ควบคุมดูแลการบูรณปฏิสังขรณ์อาคารสถานที่ต่างๆ ภายในพระอารามมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 จึงได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่วัดมาโดยตลอด และเริ่มสังเกตได้ว่าพระเจดีย์ และพระวิหารหลวงเริ่มมีการทรุดตัว อีกทั้งเชื่อว่าปัญหาการทรุดตัวของพื้นที่ และความทรุดเอียงที่เกิดขึ้น กับตัวอาคารที่สำคัญของวัดนั้น ไม่สามารถแก้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่จะต้องคิดหาวิธีการในการแก้ปัญหาเพื่อให้การบูรณปฏิสังขรณ์นั้นเป็นไปอย่างยั่งยืนที่สุด
ค่าความโน้มเอียง ของบริเวณจุดยอดพระเจดีย์
ขณะนี้ สิ่งที่กังวลมากที่สุดคือ ความผิดพลาดบางประการที่หากเกิดขึ้นในระหว่างการบูรณปฏิสังขรณ์ อาจจะส่งผลทำให้พระเจดีย์และปูชนียสถานใกล้เคียงเสียหายได้ และเนื่องด้วยความพิเศษของ “ปาสาณเจดีย์” และพื้นไพทีที่มีลักษณะสูง ในประเทศไทยมีเพียงไม่กี่วัดที่มีลักษณะเช่นนี้ ทำให้ทางวัดมีความกังวลใจ เรื่องขององค์ความรู้ ในการบูรณปฏิสังขรณ์
จึงได้ประสานมายังภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อเข้ามาวิเคราะห์เพื่อพิจารณาการบูรณปฏิสังขรณ์ ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อพระเจดีย์ และพระวิหารหลวงที่มากขึ้น และยากต่อการบูรณะซ่อมแซมในอนาคต
ภาพแสดงข้อมูลกลุ่มจุด 3 มิติ โดยรวมของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
คณะผู้วิจัยลงพื้นที่
จากการลงพื้นที่ ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ในช่วงเดือนสิงหาคม 2563 ทางคณะผู้วิจัย นำโดย รศ. ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโยธา รศ. ดร.ชัยณรงค์ อธิสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา นายพีรสิทธิ์ มหาสุวรรณชัย นักศึกษาปริญญาเอก และคณะวิจัยภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. เพื่อเก็บข้อมูลสภาพปัจจุบันในเขตพุทธาวาสทั้งหมดของวัด โดยครอบคลุมพื้นผิวของอาคารที่สำคัญ ได้แก่ พระวิหารหลวง และปาสาณเจดีย์ ด้วยการใช้กล้องสแกนวัตถุสามมิติด้วยแสงเลเซอร์ ที่สามารถบอกค่าพิกัดต่างๆ ที่สามารถนำมาประมวลผลเป็นกลุ่มจุดข้อมูลภาพสามมิติได้
โดยการลงพื้นที่เพื่อทำการสำรวจในครั้งนี้ จะมีปริมาณข้อมูลที่ได้รับ ต่อตำแหน่งการตั้งเครื่องมืออยู่ที่ 11 ล้านจุด จากการวางกล้องสแกนวัตถุสามมิติทั้งสิ้น 45 ตำแหน่ง โดยมีจุดอ้างอิงค่าระดับอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้า วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ฝั่งติดถนนสราญรมย์
ภาพแสดงข้อมูลกลุ่มจุด 3 มิติ-01
รูปด้านทิศตะวันออก แสดงความโน้มเอียงของพระอุโบสถ
คณะผู้จัดทำโครงการได้เข้ารายงานผลการสำรวจในชั้นต้นต่อทางวัดราชประดิษฐฯ พบว่า พระวิหารหลวงมีการทรุดเอียงไปทางทิศใต้ทางฝั่งพระเจดีย์ในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูง ส่วนค่าความเอียงของพระเจดีย์ที่ตรวจวัดได้มีค่าไม่มาก และลักษณะโครงสร้างของพระวิหารหลวงและพระเจดีย์จากการตรวจสอบในเบื้องต้นนี้ยังไม่พบความเสียหายที่มีต่อเสถียรภาพของโครงสร้าง
รศ. ดร.ชัยณรงค์ อธิสกุล กล่าวว่า ความทรุดเอียงที่พบจากการสำรวจพื้นที่ของวัดราชประดิษฐฯ นั้น ณ ขณะนี้ถือว่ายังไม่ส่งผลต่อโครงสร้างของพระเจดีย์ และพระวิหารหลวง โดยมองว่า การบูรณปฏิสังขรณ์ในเวลานี้ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากการบูรณปฏิสังขรณ์พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ย่อมส่งผลต่อพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบ
ซึ่งทางคณะวิจัยจะใช้ข้อมูลที่ได้ในครั้งนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้น สำหรับการติดตามและประเมินผล และคาดว่าจะดำเนินการสำรวจพื้นที่และเก็บข้อมูลอีกครั้งในรอบ 6-12 เดือนข้างหน้า เพื่อวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และประเมินอัตราการทรุดตัว ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้ทางวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เก็บเป็นข้อมูลที่จะสามารถนำไปประกอบการ ดำเนินการการบูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ และพระวิหารหลวงได้อย่างถูกต้องต่อไปในอนาคต
ที่มา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ.