มีคนดัง คนมีชื่อเสียง มากมาย ที่เรียนไม่จบ แต่ก็กลายเป็นคนที่สร้างผลงานจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก บางคนถึงกับเปลี่ยนโลกได้เลยทีเดียว อาทิ สตีฟ จ็อปส์, เลดี้ กาก้า,มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เป็นต้น ประเด็นนี้อาจทำให้หลายๆ คนไม่ใส่ใจในการเรียน เพราะเห็นว่าเขาไม่เรียนก็ยังประสบความสำเร็จได้ ที่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาไม่ได้ต้องการจะชูโรงในเรื่องการเรียนจบ หรือไม่จบแต่อย่างใดนะคะ จริงๆ แล้ว ลองอ่านเรื่องราวของพวกเขาเหล่านี้ดูดีๆ จะเห็นเลยว่าถึงเขาจะเลิกเรียน เรียนไม่จบจากโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยเหมือนกับคนอื่นๆ แต่คนเหล่านี้พวกเขาออกมาจากการเรียน เพราะรู้ว่าตัวเองชอบทำอะไร แล้วก็มุ่งมั่นทำมันอย่างเต็มที่ ซึ่งระหว่างทางความมุ่งมั่นนั้นแหละ ที่พวกเขาก็ได้เรียนรู้จากอุปสรรคต่างๆ ลองผิดลองถูก ทำให้มีประสบการณ์สั่งสม และสอนให้พวกเขาได้เรียนรู้ ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นการศึกษาอย่างหนึ่งเลยนะ.! และเรามีเรื่องราวของ 10 คนดังเรียนไม่จบ ต่อไปนี้ อยากให้ได้ลองอ่านไว้เป็นแรงบันดาลใจกัน
อ่านเป็นแรงบันดาลใจ คนดังเรียนไม่จบ แต่ประสบความสำเร็จ
1.มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) เขาเริ่มพัฒนาเฟสบุ๊คกับเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ที่ ฮาวาร์ด หลังจากเฟสบุ๊คได้รับความนิยม และทำเงินมหาศาล เขาก็ไม่ได้ไปเรียนอีก เพื่อออกมาเป็นผู้บริหารของเฟสบุ๊คอย่างเต็มตัว ปัจจุบันเฟซบุ๊กเป็นโซเชียลมีเดียที่ผู้คนเล่นกันไปทั่วโลก และทำให้เขาปัจกลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลกด้วย
2. เลดี้ กาก้า ราชินีเพลงป๊อบ และเจ้าแม่แฟชั่นหลุดโลก
เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) เริ่มเล่นเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เขียนโน้ตเปียโนตอน 13 ปี และอายุ 17 ปีเธอสามารถแต่งเพลงเองได้ เธอก็อยู่กับการเล่นมันมรเรื่อยๆ จนตอนเรียนปี 2 สอง เทอม2 เธอเลือกที่จะหยุดเรียน และหันไปเอาดีในอาชีพดนตรี ด้วยเงินเพียงน้อยนิด จนประสบความสำเร็จในชื่อ “เลดี้ กาก้า” ที่ทั้งโลกรู้จัก ชื่อที่ผันมาจากชื่อเพลง “เรดิโอ กา ก้า”
3. ไมเคิล เดลล์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dell
ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell) คอมพิวเตอร์ และโน้ตบุ๊คยี่ห้อ Dell คือผลงานของเขาคนนี้แหละ! เดลล์ถือว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ทางด้านไอที และการขาย เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้!! เริ่มตั้งแต่ตอนเรียนมัธยม เขาทำงานเป็นนายหน้าขายสมาชิกให้กับหนังสือพิมฮิวส์ตันโพสต์ และรู้จักหาช่องทางการตลาด ด้วยการสำรวจ และวิจัยตลาดการซื้อขาย และน่าทึ่งมากๆ ในอายุ 15 ปี ภายในปีเดียวที่เขาได้ทำงานนี้ เขาสามารถหาเงินได้มากถึง 18,000 ดอลลาร์ หรือกว่า 5 แสนบาท!! และเขายังไม่หยุด นำเงินที่ได้ไปต่อยอดจเก็งกำไรต่อด้วยการซื้อหุ้น และทองคำ
ต่อมาในช่วงที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส ในเมืองออสติน เดลล์ ได้เริ่มต้นทำธุรกิจบริการอัพเกรดพีซีในห้องพักเล็กๆ และไม่นานเขาก็ได้รับใบอนุญาตทำการค้าจากมลรัฐเท็กซัส ทั้งที่ไม่มีหน้าร้านแต่อย่างใด จากนั้นเขาได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส เพื่อมาก่อตั้งบริษัท PC’s Limited (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dell, Inc ) เป็นธรุกิจด้านคอมพิวเตอร์ เขาสามารถผลักดันให้บริษัทเดลล์ กลายเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชั้นนำของโลก ด้วยการริเริ่มผลิตเทคโนโลยีแล็บท็อปสมัยใหม่ จนครองส่วนแบ่งตลาดสูงกว่าร้อยละ 12 ในปี 2544 เดลล์กลายเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ในปี 2533 นิตยสารอิงค์ได้ยกย่องให้เขาเป็นนักธุรกิจแห่งปีในวัยเพียง 24 ปี และอีก 3 ปีต่อมา นิตยสารฟอร์จูน ก็ประกาศให้เขาเป็นซีอีโอที่อายุน้อยที่สุดที่มีบริษัทเป็นของตัวเองด้วย และเขายังเป็นบุคคลที่รวยที่สุดลำดับที่ 41 ของโลก (อันดับในปี 2555 โดยนิตยสารฟอร์บส์)
4.โคโค แชลแนล ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Channel
โคโค แชลแนล (CoCo Chanel) หรือ กาเบรียล บอนเนอร์ ชาแนล เจ้าแม่แฟชั่นผู้กล้าหาญ ชีวิตของเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลายมาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนที่เธอจะนักออกแบบแฟชั่นที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่กล่าวถึงมาจนถึงทุกวันนี้ ในวัยเด็กเธอต้องฝ่าฝันอุปสรรคมามากมาย ในวัยเด็กเธอถูกส่งตัวให้ไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จนอายุ 18 ปี เธอได้ย้ายไปอาศัยอยู่ที่หอพักสำหรับเด็กสาวผู้นับถือคริสต์นิกายคาทอลิกในเมืองมูแลงส์ ระหว่างนั้นเธอได้เรียนรู้วิชาการตัดเย็บจนสามารถประกอบอาชีพเป็นช่างได้เลย นอกจากนี้เธอยังหารายได้พิเศษด้วยการร้องเพลง “Ko Ko Ri Ko” กับ “Qui qu’a vu Coco” ซึ่งเป็นที่ถูกใจแก่ผู้ฟัง และทำให้เธอได้รับสมญานามว่า “โคโค่” จึงเป็นที่มาของชื่อ โคโค ชาแนล ตั้งแต่นั้นมา แต่การร้องเพลงก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอชอบ เธอชอบเรื่องแฟชั่น ชาแนลเป็นผู้ริเริ่มให้ผู้หญิงใส่กางเกงเป็นคนแรก (ซึ่งในช่วงศตวรรษที่ 20 ยังมีข้อห้ามในเรื่องให้ผู้หญิงใส่กางเกง) เธอเริ่มเปิดร้านขายหมวกในปารีส และยังเริ่มคิดค้นน้ำหอมออกมา กลิ่นที่ขายดีที่สุดคือ ชาแนลนัมเบอร์ไฟว์
5. บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้ง Microsoft
บิล เกตส์ (Bill Gates) หนึ่งในผู้บุกเบิกการสร้างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ทำให้เรามีคอมพิวเตอร์ใช้กันถึงทุกวันนี้ ตอนเรียนเขาเคยสอบตก และได้หยุดเรียนไปในช่วงวัยรุ่น เพราะเขามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะตั้งบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ให้ได้ และเขาก็ทำได้จริงๆ เขากลายเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกในช่วงปี 1995 – 2006 เขาเป็นเศรษฐีใจดี รวยแล้วใจบุญก่อตั้ง มูลนิธิ บิล & มาลิดา เกตส์ไว้สำหรับคอยช่วยเหลือด้านการศึกษา และสุขภาพ ให้คนทั้งโลกด้วย
อ่านเพิ่มเติมคลิก ที่นี่
6.สตีฟ จ็อปส์ ผู้ก่อตั้ง Apple
สตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs) เขาได้สมัครเข้าเรียนที่วิทยาลัยรีด (Reed College) ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน แต่เรียนได้เทอมเดียว (6เดือน) เขาก็ลาออก สาเหตุเพราะเขาหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่า การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยจะให้อะไรกับชีวิตเขา จากนั้นเขาก็ได้ใช้ชีวิตโดยอาศัยอยู่ห้องเพื่อน และเก็บกระป๋องไปแลกเงินเพื่อซื้ออาหาร และเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่ตัวเองสนใจเท่านั้น วิชาที่เขาเลือกก็คือ ศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (Calligraphy) เป็นเวลาทั้งประมาณ 1 ปี 6 เดือน จากนั้น 10 ปีต่อมา ในวัย 20 ปี สตีฟ จ็อปส์ ได้คิดค้นเครื่องคอมพิวเตอร์ Mac ได้สำเร็จเป็นเครื่องแรกของโลก เขาเป็นอัจฉริยะ ที่สร้างนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆ ขึ้นมานับไม่ถ้วน อาทิ iPhone iPad สร้างความอำนวยสะดวกให้มนุษย์โลกถึงทุกวันนี้
สตีฟ จ็อปส์ เคยกล่าวไว้ในปาฐกถาครั้งหนึ่งในพิธีสำเร็จการศึกษาของบัณฑิตมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปีค.ศ. 2005 ไว้ว่า เพราะเขาลาพักเรียนไป จึงมีเวลาเข้าชั้นเรียนคัดตัวหนังสือ “ถ้าผมไม่ได้เรียนวิชานั้นที่วิทยาลัยรีด เครื่องแมคอินทอชคงจะไม่มีรูปแบบอักษรหลากหลาย และปราศจากฟอนต์ที่มีการแบ่งระยะห่างอย่างถูกสัดส่วนเช่นนี้”
8. เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) ผู้ก่อตั้ง Ford Motor
พ่อของเขาได้มอบกิจการฟาร์มของครอบครัวให้ดูแล แต่ เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) เขารู้ตัวเองดีว่าไม่ชอบงานทำสวนทำไร่ จึงออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปี เพื่อไปเป็นเด็กฝึกงานช่างซ่อมเครื่องยนตร์ที่เมือง ดีทรอยท์ (Detroit) เขาสั่งสมประสบการณ์จากการฝึกงาน จากนั้นเขาก็ได้รับตำแหน่งให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าฝ่ายช่างยนต์ของ “ดีทรอยท์ เอดิสัน” เขาได้รับมอบหมายให้ศึกษ าและพัฒนาเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมัน จนกระทั่งสามารถพัฒนารถยนต์สี่ล้อคันแรกสำเร็จในปี 2439 ใช้ชื่อ “ฟอร์ด ควอดริไซเคิล” (Ford Quadricycle)
ต่อมา ในปี 2446 เขาได้ตั้ง “บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์” (Ford Motor Company) ร่วมกับเพื่อน ๆ นักประดิษฐ์ พ.ศ. 2446 เขาริเริ่ม นำระบบสายพานมาใช้ในการผลิต โดยให้อุปกรณ์ไหลไปตามสายพาน และให้คนงานประกอบรถยนต์ทีละส่วน และทำให้ผลิตรถยนต์หนึ่งคันเพียงชั่วโมงครึ่ง เขาผลิตรถยนต์ ฟอร์ด โมเดล ที จากเดิมราคา 850 ดอลลาร์ เหลือเพียง 360 ดอลลาร์ ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรก ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากอเมริกันชนเป็นอย่างดี เพราะเป็นรถยนต์ที่สวยงาม มีความแข็งแรงทนทาน และมีราคาถูกกว่ารถยนต์ยี่ห้ออื่นในตลาดเกือบครึ่ง รถยนต์รุ่นนี้ผลิตจนถึงปี 2470 จำหน่ายได้ทั้งหมดราว 15 ล้านคัน ปัจจุบันบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ได้ขยายกิจการธุรกิจรถยนต์ไปทั่วโลก โดยเป็นเจ้าของธุรกิจรถยนต์แบรนด์อเมริกันคือ “ฟอร์ด” (Ford) “ลินคอล์น” (Lincoln) และ “เมอร์คิวรี” (Mercury) และปัจจุบันยังมีหุ้น แอสตันมาร์ติน (Aston Martin) อยู่ นอกจากนี้ยังร่วมลงทุนกับบริษัทผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นคือ “มาสด้า” (Mazda) และเคยเป็นเจ้าของแบรนด์อังกฤษคือ จากัวร์ (Jaguar) แลนด์ โรเวอร์ (Land Rover) และแบรนด์สวีเดนคือ “วอลโว่” (Volvo) ฟอร์ด
9. ไทเกอร์ วู๊ดส์ อดีตนักกอล์ฟอันดับ 1 ของโลก
ไทเกอร์ วู๊ดส์ (Tiger Woods) จะเรียกว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นนักกอล์ฟที่เก่งที่สุดในโลกก็ไม่ผิดนัก เขาเริ่มเล่นกอล์ฟตั้งแต่เดินได้ ตอนอายุ 2 ขวบ ก็ได้ออกลีลาโชว์วงสวิงให้โลกตะลึง พออายุ 11 ขวบ สามารถเอาชนะพ่อของตัวเองได้ จากนั้นมาก็ได้คว้าแชมป์หลายรายการ เขาจึงตัดสินใจหยุดเรียน และออกมาเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ และเขาก็ทำได้ดี ครองตำแหน่งนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกอยู่หลายปี
10. ริชาร์ด แบรนสัน เจ้าของธุรกิจกว่า 360 บริษัท ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Virgin
ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) เขาออกจากการเรียนตั้งแต่อายุ 15 และเริ่มทำธุรกิจด้วยการทำนิตยสารรายเดือนสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย ชื่อว่า Student จากนั้นได้ขยายธุรกิจด้วยการจัดจำหน่ายแผ่นเสียงทางไปรษณีย์ ในปี พ.ศ. 2513 และเปิดเครือข่ายร้านจำหน่ายแผ่นเสียง ใช้ชื่อว่า Virgin Records ทั่วประเทศอังกฤษ พร้อมกับทำธุรกิจห้องบันทึกเสียง และเริ่มผลิตแผ่นเสียงในสังกัดของตัวเอง ศิลปินที่มีชื่อเสียงในสังกัด ในยุคแรกเช่น ไมค์ โอลด์ฟิลด์, แทนเจอรีน ดรีม, เซ็กซ์ พิสทอลส์ และยุคถัดมาเช่น เจเนซิส, ฟิล คอลลินส์, ปีเตอร์ แกเบรียล, บอย จอร์จ รวมไปจนถึงธุรกจสายการบินเขาก็ทำ เปิดสายการบินชื่อ เวอร์จิน แอตแลนติก นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่นอีกมากมายเช่น โทรศัพท์มือถือ รถไฟ ลอตเตอรี่ เกมคอมพิวเตอร์ น้ำโคล่า วอดก้า สิ่งพิมพ์ ฯลฯ