issue57 คณะอุตสาหกรรมเกษตร ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร ต่อ ฮอร์โมนส์ ธนภพ ลีรัตนขจร นักแสดง GDH สัมภาษณ์พิเศษ

ต่อ-ธนภพ หรือ อี้ เลือดข้นคนจาง กับชีวิตความเป็น “ไอดอล” ที่เข้มข้นไม่แพ้ในละคร

Home / วาไรตี้ / ต่อ-ธนภพ หรือ อี้ เลือดข้นคนจาง กับชีวิตความเป็น “ไอดอล” ที่เข้มข้นไม่แพ้ในละคร

เป็น “อี้” ลูกชายคนโตในตระกูลที่ต้องสืบหาตัวคนร้ายเพื่อปกป้องคนที่เขารักในละครเลือดข้นคนจาง ส่วนในชีวิตจริงของหนุ่มฮอต “ต่อ-ธนภพ” ก็มีมุมมองความคิดที่มุ่งมั่นและเข้มข้นไม่แพ้กัน ไปฟังบทสัมภาษณ์ถึงบทเรียนการใช้ชีวิตความเป็นไอดอลตั้งแต่เรียนจนถึงทำงานของหนุ่มคนนี้กันดีกว่า

ต่อ-ธนภพ หรือ อี้ เลือดข้นคนจาง

คลิป เบื้องหลังถ่ายปก Campus Star NO.57 ของ ต่อ ธนภพ ธีมโอป้าเกาหลี

ถ้าย้อนเวลากลับไปในช่วงที่เรียน คิดว่าได้อะไรจากมหา’ลัยบ้าง (หลังจากเรียนจบคณะอุตสาหกรรมเกษตร สาขาแพคเกจจิ้ง ม.เกษตรศาสตร์)

จริงๆ ผม Proud to Present มากเลยนะ คณะที่เราเรียนมา เราไม่เคยเรียนคณะอื่น แต่ในความเข้าใจของเราคือเป็นคณะที่ได้ใช้ความรู้ตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่จริงๆ ผมรู้สึกว่ามันหายาก มันไม่ได้มีทุกคณะที่ได้ใช้ทุกอย่าง สิ่งที่เราได้จากคณะนี้คือ ความระมัดระวังในการใช้ชีวิต

ต้องบอกเลยว่ายุคนี้แพคเกจจิ้งมันโตไวมาก แล้วมันไปอยู่ในทุกอย่าง กินข้าวอะ ถ้าอยู่ตามกอง ข้าวกล่อง โดนและ..แพคเกจจิ้ง แม้แต่จานหรืออะไรก็ตาม พอเราได้เรียนรู้ถึงพวกวัสดุเบื้องต้น เช่น พลาสติก โลหะ แก้ว มันจะรู้หมดเลย รู้ถึงประโยชน์และโทษ พอกินน้ำปั๊บพลิกดูตรงตูดพลาสติก เด็กแพคเกจจิ้งจะแบบ เอ้ย ใช้พลาสติกถูกเปล่าเนี่ย อะไรแบบนี้ เหมือนเรารู้ว่ามีสารพิษอะ จริงๆ แล้วมันมีโทษหมดทุกอย่าง เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเราควรรักษาสุขภาพไง ถ้าสุขภาพดี ทุกอย่างก็โอเค

อีกอย่างที่เราได้เรียนรู้ คือ การได้รู้จักเอาตัวรอด คำจำกัดความที่ผมให้มหา’ลัย หนีไม่พ้นคำว่าเอาตัวรอดจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเรียน ไม่ใช่เรื่องอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องเพื่อนด้วย

ผมรู้สึกว่าพอจบมหา’ลัยปั๊บ เหมือนเรามีความจบหลักสูตรชีวิตวัยเรียนประมาณหนึ่ง ถ้าเรามองย้อนกลับไป เพื่อนมหา’ลัยก็เป็นสังคมที่ช่วยเหลือกัน แต่ไม่ได้ช่วยขนาดนั้นอะ คือทุกคนต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน ถามว่าต้องช่วยกันมั้ย ใช่ต้องช่วยกัน แต่ถ้าต้องเลือกก็ต้องเลือกตัวเองให้รอดด้วย นี่น่าจะเป็นประสบการณ์ที่อาจจะทำให้เราได้เป็นแลนมาร์คของมหา’ลัยก็ได้ (ยิ้ม) ประหลาดดีตอนปีแรกจำได้เพื่อนเคยเสิร์จชื่อผมใน Google Map แล้วมีคนเอาชื่อเราไปเป็นแลนมาร์คในมหา’ลัยด้วย คือแบบฮืมม (หัวเราะ)

ต่อ-ธนภพ หรือ อี้ เลือดข้นคนจาง

แพลนอนาคตในวงการบันเทิง

จากที่เคยรับงานไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกวันนี้คือเปิดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ ยังจบมาได้ไม่นาน ต้องปรับตัวอีก แต่คือคำว่าเปิดร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็ต้องเวทกับเวลาพักด้วย มนุษย์เราไม่ใช่หุ่นยนต์ ให้ทำงานขนาดนั้นอาจจะไม่ไหว ปีที่แล้ว มีช่วงหนึ่งที่ร่างกายผมแย่มากเกือบน็อก เลยต้องรีบไปเช็กอัพตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล สรุปตอนนี้ก็กลับมาแข็งแรงขึ้น ก็แข็งแรงมาก แต่ก็ต้องออกกำลังกายหนักขึ้น เพราะเมื่อก่อนพอทำงานเยอะ แล้วต้องเรียน ต้องสอบอีก พอไม่ได้ออกกำลังกาย มันก็อ่อนแอ เปลี้ย เดี๋ยวนี้เลยต้องทุ่มเวลาออกกำลังกายด้วยให้ร่างกายแข็งแรงอยู่ตลอด

อนาคตตอนนี้ถ้าเรื่องงานก็เริ่มมองเรื่องความเจริญก้าวหน้า ยิ่งเรียนจบ ไฟมันเยอะมาก ผมอยากไปอีก ไม่ได้อยากหยุดแค่นี้ ถ้ามันมีโอกาส แต่คนที่ทำให้มันมีโอกาสไม่ใช่ผม ผมไม่สามารถสร้างโอกาสได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าวันนี้มันยังมี ผมก็จะพยายามไปต่อให้ไกลที่สุดเท่าที่เราจะไปได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็เริ่มคิดรองรับอายุในอนาคต เพราะว่าทางนี้มันคงไม่ใช่อาชีพที่เป็นอมตะ เราน่าจะสนุกได้ถึงแค่ช่วงอายุหนึ่ง ก็มีหลายอย่างที่เราแพลนไว้ เป็นสิ่งที่เราคิดว่าเราอินแล้วอยากทำมันนอกเหนือจากทางนี้ อย่างผมรู้ตัวว่าผมชอบกางเกงยีนส์ จะมีอะไรที่มันอะแดปต่อได้หรือเปล่า เราก็คิดไปเรื่อย แต่ยังไงก็คือต้องเลี้ยงป๊าเลี้ยงแม่ได้ด้วยนะ

เคยคิดมั้ยว่าถ้าเราไม่ได้รับโอกาสจากพี่ย้งให้มาแสดงเป็น “ไผ่ ฮอร์โมน” ทุกวันนี้เราจะทำอะไรอยู่

เคยนะครับ เคยคิดว่าจริงๆ พาร์ทที่เราไม่ได้ทำงานก่อนหน้านั้น ชีวิตเราดีนะ ไม่ได้ดีในแง่หาเงินได้เยอะ หมายถึงว่ามีความสุขมากๆ อยู่แล้ว สิ่งนี้เลยเหมือนเป็นโบนัสชีวิตทุกวันนี้ที่ได้มา มันเป็นคำถามโคตรง่ายสำหรับผมแบบว่าถ้าผมไม่ได้เข้าวงการเป็นนักแสดง ผมไม่น่าจะเอนคณะนี้ ผมอาจจะไปอีกทางหนึ่งที่มันอาร์ตไปเลย รากฐานของผมมาจากถาปัด ผมว่าผมมีความเป็นเด็กถาปัด เมื่อก่อนผมติวพวกนี้จริงจังมาก คิดภาพตัวเองน่าจะเป็นเด็กอาร์ตเซอร์ๆ แต่พอเข้าวงการ พูดจริงๆ ดีกับน้องๆ ที่ได้อ่าน คือ ผมเป็นตัวอย่างของคนไม่ตั้งใจเรียนแล้วกลับมาตั้งใจเรียน นั่นคือสิ่งที่อยากจะเตือน รู้สึกว่าเราผ่านมาแล้ว แล้วเรื่องบางเรื่องวัยรุ่นต้องลองเอง เชื่อพี่เหอะ เข้าใจที่พ่อแม่สอนแล้วว่ามันคืออะไร พูดง่ายๆ คือเราเป็นคนหนึ่งที่เรากลับตัวได้ แต่เรากลับตัวไม่ทัน เวลาเราไม่ได้มากเท่าไหร่ พอเรากลับตัวปั๊บ แล้วมันดันเข้ามาพร้อมงาน เราไม่มีอะไรตั้งตัวได้เลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำได้คือเราต้องตะเกียกตะกายหาทางเข้าให้ได้

ซึ่งตอนแรกผมยอมรับว่าคณะที่เราจบมามันไม่ได้อยู่ในความคิดเราเลยว่าอยากเรียน แต่พอเราเข้ามาแล้ว ผมก็ใช้ความเชื่อ เชื่อในมัน พยายามเรียน พอเราเชื่อแล้วเดี๋ยวมันจะรับ จะเจอสิ่งที่มันอุ้ย ดีจัง คือตอนยื่นคะแนนสี่อันดับผมสอบไม่ติด แล้วตอนนั้นที่เลือก ปกติเด็กจะเลือกคะแนนเอาไปเทียบว่าชั้นอยู่ตรงไหน แต่ธนภพไม่เคยทำสิ่งนั้น ไม่เคยอยู่ในหัว รู้สึกว่าเฮ้ย เพื่อนทำอะไรกัน ไร้สาระ สำหรับผมความเท่เริ่มจากการที่มีคนพูดว่าสี่อันดับเนี่ย เป็นสิ่งที่เราเลือกครั้งเดียวในชีวิต แล้วพอมันเป็นครั้งเดียวในชีวิต ผมคิดภาพป้ายประกาศแบบที่มันติดตัวเรา ใช่..สี่อันดับนี้ต้องเท่ไว้ก่อน หนึ่งในนั้นก็มีสถาปัตย์ กับนิเทศฯ จุฬา ประมาณนั้น ก็เข้าใจตอนไม่ติดเลย ตอนนั้นก็ท้อแท้มาก โคตรนอยเลย มีความชีวิตวัยรุ่นพัง จากนั้นก็ต้องมาลองแอดมิดชั่นรอบสอง เอาคะแนนที่เรามีอยู่ไปยื่นใหม่

ต่อ-ธนภพ หรือ อี้ เลือดข้นคนจาง

ตลอดชีวิตในวงการ เรื่องที่คิดว่าประสบความสำเร็จสุดๆ และที่คิดว่าเฟลสุดๆ

ที่คิดว่าประสบความสำเร็จที่สุด คงเป็นตอนที่ผมเพิ่งเจอตอนเริ่มทำงานว่าผมชอบอะไร คือเคยเป็นคนไม่มีความฝัน พอได้ทำสิ่งนี้แล้วมันได้เจอว่าอ๋อ เราชอบอันนี้นี่เอง แต่ถ้าเรื่องเฟลที่สุดคือผมมีชีวิตที่ไม่ได้เป็นชีวิตของตัวเอง จริงๆ มันก็ไม่ใช่ชีวิตของเราแหละ แต่มันเป็นเอฟเฟคกัน เหมือนกันที่คนบอกว่าถ้าเราหาได้เยอะกว่าคนอื่น เราก็ต้องเสียมากกว่าคนอื่น ผมแค่เฟลกับสิ่งที่ผมเสียเฉยๆ

เอาจริงๆ ตอนเล่นซีรีส์ฮอร์โมน ผมพูดตรงๆ เลย คือ ผมเคยคิดแค่ว่ามาเล่นเฉยๆ แล้วก็จบ บทเราก็ไม่น่าจะมีอะไรอยู่แล้ว เผลอๆ คนน่าจะด่าพอตัว ก็เลยเล่นไป อ้าว ยาวเลย งงเลย แล้วครูแอกติ้งคนแรก ชื่อ ครูบิว เขาก็เป็นคนที่ทุบความรู้สึกของผม ทำให้ผมเจอว่าจริงๆ แล้วผมเป็นผู้ชายเซนซิทีฟ แล้วก็มี Material หลายอย่างที่ควรจะเอามาใช้ในการแสดง พอเราเชื่อเขาแล้วก็เริ่มจริงจังกับการแสดง เริ่มรู้สึกชอบมัน และสนุกกับมันมาก

ทุกวันนี้เข้ามากลายเป็นไอดอลผู้คนมากมาย เราต้องปรับตัวยังไงบ้าง

แต่ก่อนผมติดเพื่อนมาก แต่พอผมมาทำงานตรงนี้ คือผมไม่ได้เรียกว่ามันคือโลกส่วนตัว แต่เพื่อนผมบอกว่าเนี่ยคือโลกส่วนตัว คือผมว่าผมไม่มี แต่มันบอกว่าผมมี เดาว่าผมไม่มีละกัน (หัวเราะ) คือผมไม่อยากติสท์อะ พูดไงดี ผมเหนื่อยอะ ผมก็อยากอยู่นิ่งๆ บ้าง ผมว่าดาร์กไซต์ผมมีเยอะ คนเราถ้าจะอยู่ในสังคม คุณต้องยอมรับได้ทั้งด้านสว่างหรือด้านมืดของคน ผมไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่สิ่งที่วันนี้ผมเป็น ผมว่าโชคดีที่คนทั่วไปแค่รับกับด้านดีของผมได้ แล้วผมแค่รู้สึกว่าผมไม่เคยเฟคใส่แฟนๆ ตัวเองเลยนะ ผมอาจจะไม่ได้มานั่งฮิฮะๆ ผมทำได้เท่าไหน ผมทำได้เท่านั้น ผมมั่นใจว่าผมจริงใจทุกครั้ง อะไรที่มันจริง มันจะเรียล เอาจริงๆ คนไม่ได้โง่ เวลาเห็นอะไรเฟคๆ มันดูออกนะ

ข้อมูลและภาพแฟชั่นจากนิตยสารแคมปัส-สตาร์ ฉบับที่ 57

GALLERY

PLACE : THE BLOC RATCHAPHRUEK

 

บทความแนะนำ สัมภาษณ์โดยแคมปัสสตาร์