cmu ความเชื่อ ตำนาน ผี เรื่องลี้ลับ

6 เรื่องเล่าผี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ภาค2)

Home / เรื่องเล่ามหาวิทยาลัย / 6 เรื่องเล่าผี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ภาค2)

กลับมาอีกครั้ง กับ เรื่องเล่าผี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอรับน้องในช่วงเทศกาลเปิดเทอมใหม่ ด้วยเรื่องเล่าสุดสยองในมหา’ลัยเชียงใหม่ สิ่งลี้ลับ ความน่าสะพรึงกลัวที่ใครๆ ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า เรื่องที่เล่าต่อๆ กันมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ บางเรื่องถูกกล่าวขานกันว่า หลอนมาก! ชวนขนหัวลุกกันมานักต่อนักแล้ว ขอบอกน้องๆ เลยนะว่า เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่!

6 เรื่องเล่าผี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

1. กุหลาบแดง คณะสื่อสารมวลชน

แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะเราดูอยู่ตลอด แต่ทำไงได้ภาพในกล้องวีดีโอมันทำให้เราเห็นว่า น้องๆ ที่แสดงในวันนั้น ไม่ได้มีแค่ 4 คน แต่มันกลับมี 5 คน…

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2550 เมื่อคณะสื่อสารมวลชน มช. ต้องทำการแสดงในช่วงค่ำ คืนของวันสปอร์ตไนท์ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของคณะที่จะนำเสนอการแสดงของตนเอง ด้วยความที่เป็นคณะที่กล้าแสดงออก จึงคิดค้นการแสดงแปลกๆ ขึ้นมา เพื่อเรียกคะแนนนิยมจากคนดู เหล่ารุ่นพี่จึงตกลงปลงใจที่จะนำเสนอการแสดงที่มีชื่อว่า “กุหลาบแดง” ซึ่งมีผู้แสดงทั้งหมด 4 คน ใส่ชุดยาวสีขาวทุกคน และต้องปืนป่ายขึ้นไปบนสแตนด์ สูงประมาณ 3 ชั้นของตึก เพื่อที่จะโรยตัวลงมา เพราะการแสดงชุดนี้ มีคอนเซ็ปต์ที่นำเสนอเกี่ยวกับ สาวที่อกหักจากหนุ่มคนรัก จึงตัดสินใจผูกคอตาย “รู้ว่ามันเป็นวิธีที่เสี่ยง ถ้าน้องๆ เกิดพลาด ดึงเชือกแขวนคอจริง เราคงรับผิดชอบไม่ไหวแน่ แต่หลังจากที่ซักซ้อมมาหลายวันก็มั่นใจว่าน้องต้องไม่พลาด”

หลังจากที่การแสดงจบลง ทุกอย่างเป็นตามที่ตั้งหวังไว้ การแสดงชุดนี้ได้รับความชื่นชมจากเพื่อนรวมคณะ และต่างคณะ ทุกคนพากันมาแสดงความยินดี และพูดขึ้นว่า “ชอบจัง แสดงได้ดี น่าหวาดเสียวทั้ง 5 คนเลย” ทุกคนที่จัดการแสดงอึ้ง แบบพูดไม่ออก เพราะการแสดงชุดนี้มีผู้แสดงเพียง 4 คนเท่านั้น และคนที่ 5 เป็นใคร จากนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งที่ถือกล้องวิดีโอบันทึกภาพ วิ่งมาอย่างหน้าตาตื่น บอกว่า… จริงอย่างที่เพื่อนพูด การแสดงชุดนี้มี 5 คน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เห็นผู้แสดง 4 คน รุ่นพี่จึงตัดสินใจลบภาพ และเก็บเรื่องไว้เป็นเพียงเรื่องเล่า แต่ก็ยังมีคนนำกลับมาเล่า พร้อมกับหลักฐานที่บางคนเห็น และบางคนไม่เห็น ในเว็บไซต์ต่างๆ ลองเข้าไปดู และตัดสินช่วยพวกเราตัดสินอีกครั้งว่าการแสดงชุดนี้ มีกี่คนกันแน่?

2. ผีห้องน้ำหอ 7 หญิง

เรื่อง เล่าจากประสบการณ์จริงของรุ่นน้องที่อยู่หอ 7 หญิง เล่าว่า ไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำ ชั้น 3 ซึ่งน้องเข้าไปอาบน้ำในห้องที่เขากั้นให้อาบ โดยเดินไปอาบห้องในสุด ซักพักก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาอาบน้ำในห้องข้างๆ ได้ยินเสียงฝักบัว แถมยังมีน้ำกระเซ็นเข้ามาที่ห้องตัวเองอาบอยู่อีกต่างหาก แต่รุ่นน้องอาบน้ำช้า ห้องข้างๆ เลยกลับออกไปก่อน พอรุ่นน้องอาบน้ำเสร็จ เปิดห้องออกมา ตอนออกก็ต้องเดินผ่านห้องข้างๆ อยู่แล้ว เพราะตัวเองอาบห้องในสุด แต่พอมองเข้าไปในห้องข้างๆ กลับไม่มีร่องรอยการอาบน้ำเลย ตรงฝาผนังและพื้นแห้งสนิท!

เช่น เดียวกันกับรุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งแก่กว่าประมาณ 3 ปี ที่เดินไปอาบน้ำ ที่ห้องอาบน้ำชั้น 2 เล่าให้ฟังว่า กำลังจะเข้าไปอาบน้ำ ทั้งห้องอาบน้ำมีพี่เจาอยู่คนเดียว กำลังจะสระผม รู้สึกว่ามีน้ำกระเด็นมาจากห้องข้างๆ แต่ไม่มีเสียงน้ำ ด้วยความสงสัย จึงหยุดแล้วไปดูห้องข้างๆ ก็ไม่เห็นมีน้ำรั่วหรือซึม ทั้งผนัง และเพดานแห้งหมด ไม่มีรอยเปียกน้ำเลย พอเข้าห้องมาจะอาบน้ำต่อก็มีน้ำกระเซ็นมาโดนอีก คราวนี้ไม่อยู่แล้ว เก็บของออกจากห้องน้ำไปเลย ^^

3. ถนนขึ้นดอยสุเทพ

ดอย สุเทพเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดในประเทศไทย และในเวลากลางคืนก็มีผ้คนนิยมขับรถขึ้นไปชมวิวยามค่ำคืนกัน และอย่างหนึ่งก็คือเวลาเมาๆ นักศึกษาทั้งหลายมักจะชอบขับรถขึ้นดอยกัน เพื่อดูวิวเมืองเชียงใหม่ในตอนกลางคืน เพราะมันสวยดี (แต่ดันขับรถตอนเมา ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะ)

วัน หนึ่ง นักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ 2 คน เพิ่งเลิกสังสรรค์ปาร์ตี้กับเพื่อนๆ จากร้านกังสดาล (แต่ก่อนร้านนี้ฮิต) ครึ้มๆ ขึ้นมาก็เลยขับรถเลยจากทางเข้าหอพัก กะขึ้นดอยไปชมเมืองเล่น คนขับก็ขับไป คนข้างหลังที่ซ้อนก็นั่งไปเมาๆ แล้วก็หลับเลย (สมัยก่อนแปดสิบเปอร์เซ็นต์นักศึกษาขับแมงกะไซค์ไม่ใช่รถยนต์อย่างทุก วันนี้)

ซัก พักหนึ่งคนซ้อนก็ตื่น กำลังเข้าโค้งพอดี เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนโบกรถอยู่ข้างทาง แต่คนขับก็ขับเลยผ่านไป ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษจัด ก็เลยถามคนขับว่า “ทำไมไม่ จอดรถลงไปถามหน่อยล่ะ เผื่อเขามีปัญหาอะไรให้ช่วย?” คนขับตอบกลับไปว่า “ไม่จอด คนนี้เขารอโบกทุกโค้งเลย เจอมาหลายโค้งแล้ว เดี๋ยวโค้งหน้าก็เจอเขาอีกแหละ…”

4. หอพัก ห้องสีชมพู

ห้องสีชมพูตำนานอันลือลั่นของเด็กใหม่ปี 1 ทุกคน โดยเฉพาะ นักศึกษาหญิงที่จะต้องพักที่หอ 8 โดยรุ่นพี่ที่เคยอยู่หอนี่จะบอก และย้ำเสมอว่า เวลาจะเข้าห้องน้ำต้องเอาเพื่อนไปด้วยเสมอ ห้ามลืมเด็ดขาด! นี่คือคำเตือนของรุ่นพี่ประจำหอ

แล้วรุ่นพี่อีกคนก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประวัติของห้องสีชมพูนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ปี 32 ซึ่งมีประเพณี หรือเรียกว่ากฏของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือเด็กปีหนึ่งทุกคนต้องอยู่หอใน เพื่อที่เวลาพี่เรียกมาทำกิจกรรมรับน้องจะได้มาพร้อมเพรียงกันอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่อยู่เชียงใหม่ส่วนมากจะกลับบ้านเย็นวันศุกร์ แล้วกลับเข้าหอก่อนเย็นวันอาทิตย์

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อรุ่นพี่ต่างคณะเกิดมาชอบ กับนักศึกษาหญิงน้องใหม่คนหนึ่ง ความสัมพันธ์ก็ได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว รุ่นพี่คนนี้เลยชวนนักศึกษาหญิงไปอยู่ด้วยกันที่หอหลัง มช. ทุกเย็นวันศุกร์หน้าหอ 8 จะมีรุ่นพี่คนนี้มาจอดรถรอ นักศึกษาหญิงคนนี้ และจะมาส่งตอนเย็นวันอาทิตย์ทุกครั้ง เป็นไปอย่างนี้เกือบจะ 5 เดือนจนเป็นที่อิจฉาของเหล่า นศ.หญิงที่หอนั้น ใครเห็นก็ต่างพูดแซวอยู่ตลอดเวลา ทำให้นศ.หญิงรู้สึกดีใจ และรักรุ่นพี่คนนี้มาก แต่ต่างกันรุ่นพี่คนนี้เริ่มที่จะตีตัวออกห่าง เพราะรู้สึกว่านศ.หญิงคนนี้ เริ่มที่จะจริงจังกับตนเองมากเกินไป

แล้ววันที่นศ.สาวคนนี้เสียใจที่สุด และได้สร้างตำนานอันลือลั่นก็มาถึง ทุกเย็นวันศุกร์รุ่นพี่จะต้องมารับเป็นประจำทุกครั้ง.. แต่วันนี้รุ่นพี่มาถึงก็ดึกมากแล้ว นศ.หญิงเลยถามว่า “ทำไมมาดึกจัง” ซึ่งหลายคนก็บอกว่าเพราะรุ่นพี่คนนั้นไปติดพันหญิงอีกคนอยู่นศ.หญิงคนนี้ ได้ยินแล้วก็เก็บไว้ในใจตลอดไม่กล้าที่จะถาม เพราะกลัวเสียคนรักไป และเธอก็บอกกับรุ่นพี่คนนี้ว่ามีเรื่องที่จะพูดด้วย เป็นเรื่องสำคัญมาก รุ่นพี่คนนี้ก็บอกให้ไปคุยกันที่หอ

หญิงสาวคนนี้ก็เลยซ้อนรถไปแล้วก็คุยขณะที่ซ้อนรถอยู่ บอกว่า “ตนเองตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว” พอได้ยินแค่นั้นรุ่นพี่คนนี้ก็จอดรถทันที แล้วก็ถามย้ำว่า “เมื่อกี้พูดว่าอะไร” นศ.สาวเลยย้ำไปว่าตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว รุ่นพี่คนนี้ไม่รับผิดชอบหาว่า เธอนอกใจไปคบชายอื่น พอท้องแล้วจึงมาอ้างว่าตนเป็นคนทำ รุ่นพี่คนนี้บอกเลิกเธอในทันที และปล่อยให้เธอเดินจากหลัง มช.กลับมาที่หอตามลำพัง

ระหว่างทางนศ. สาวคนนี้ก็คิดเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งความรู้สึกเสียใจปนความเคียดแค้นต่อชายหนุ่มที่ทิ้งเธอไป บวกกับกลัวทางบ้านจะรู้ความจริง และทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ทำให้เธอตัดสินใจเอาเด็กออก แต่เธอไม่กล้าพอที่จะไปที่โรงพยาบาล หรือบอกให้ใครทราบ พอมาถึงห้องเมทไม่อยู่เพราะกลับบ้านกันหมด เธอเลยเอาเด็กออกด้วยตัวเอง โดยการเอาไม้บรรทัดเหล็กกระทุ้งจนมดลูกฉีก เธอทำไปโดยไม่รู้วิธีการที่ถูกต้อง ทำให้เธอเกิดอาการตกเลือดอย่างรุนแรง ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตเธอได้เขียนข้อความไว้บนกำแพงห้องนั้นว่า “กูมีมึงคนเดียว”

วันรุ่งขึ้นเมทร่วมห้องก็เข้ามาที่หอด้วยท่าทีวิตกกังวล และได้ไปที่ห้องพักที่เธอได้พักกับนศ.สาวคนนี้ ก็ได้พบกับศพของหญิงสาว รอยเลือดกระจัดกระจาย และข้อความบนกำแพง จึงแจ้งให้ป้าผู้คุมหอทราบ ก็ได้มีการสอบสวนเมทคนนี้ว่ารู้ได้อย่างไรว่าเพื่อนเสียชีวิต เมทคนนี้ก็บอกว่าเมื่อคืนฝันเห็นเพื่อนมาบอกลา และให้ไปเอาศพที่ห้องลงมาด้วย แถมยังฝากบอกป้าคุมหออีกว่า… ห้ามใครก็ตามมายุ่งกับห้องของเธอ

หลังจากจัดการเรื่องศพ และงานศพเรียบร้อยแล้ว ก็ได้มีการทำความสะอาด ห้องนั้นโดยใช้ผ้าชุดน้ำเช็ดรอยเลือดให้สีจางลง เปลี่ยนที่นอน และผ้าปูที่นอนใหม่จนห้องเกือบจะสะอาดเหมือนเดิม แต่รุ่งขึ้นสิ่งที่ทำให้ทุกคนขนลุกก็คือ ทั้งรอยเลือด และข้อความที่หญิงสาวคนนั้นทิ้งไว้ไม่ได้หายไป แต่รอยเลือดกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม”

ทางหอเลยพิจารณาเอาสีใหม่มาทาทับไม่ให้เห็นรอยเลือด แต่แล้วพอวันรุ่งขึ้นรอยต่างๆ ก็กลับมาอยู่ดังเดิมเหมือนกับไม่ได้มีการนำสีมาทาแต่อย่างใด ทางหอเลยได้เชิญพระที่วัดฝายหินมาทำพิธี แต่พระท่านบอกว่า ทำพิธีไล่ไปคงไม่ได้เพราะวิญญาณนี้เฮี้ยนมาก วิญญาณเขายังมีความอาฆาต และมีลูกในท้องอีกด้วย เลยได้แต่ทำการสะกดวิญญาณไม่ให้ไปหลอกคนในหอ หลังจากทำพิธีสะกดวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ทางหอก็ได้ทาสีห้องใหม่ แต่คราวนี้ใช้สีชมพู เพราะจะได้มองไม่เห็นคราบเลือดบนกำแพง จนกลายมาเป็นตำนานห้องสีชมพูจนถึงเดี๋ยวนี้

และปัจจุบันได้กลายเป็นห้องเก็บของที่ปิดตาย เคยมีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดที่ห้องนี้แล้วออกจากห้องไม่ได้ เพราะลูกบิดถูกล๊อค ทั้งที่ตัวล๊อคอยู่ในห้อง!

5. ห้องแลปฟิสิกส์

เรื่องนี้ฟังเค้าเล่ามาอีกทีเป็นเรื่องนานมาแล้ว เรื่องมีว่าเมื่อก่อนตอนที่ตึกวิทยาศาสตร์ ชั้น 9 ยังไม่ได้สร้างแลปฟิสิกส์ของเด็กปี 1 ก็ยังทำที่แลปเก่าอยู่ แลปคราวนั้นเป็นแลปเรื่องแสง คนที่เคยเรียนคงรู้ว่าห้องจะมืด เพราะปิดไฟ เป็นแลปมืดจริงๆ เพราะทำช่วงค่ำ นักศึกษาหญิงคนนึงก็เข้าห้องแลปแต่พาร์ทเนอร์แลปยังไม่มา คนอื่นๆ ก็มากันหมดแล้ว พอเตรียมอุปกรณ์เสร็จ เพื่อนก็มาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดไม่จา ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ตอบ เหลือบเห็นที่คอมีรอยแผลเป็นทางยาว เธอจับไหล่เพื่อนถามว่าไปโดนอะไรมา เพื่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้วหัวหลุดกลิ้งไปกับพื้น นศ. หญิงร้องกรี้ดแล้ววิ่งออกมาสลบตรงระเบียง

ฟื้นมามียามกับรุ่นพี่สองสามคน ถามว่าไม่รู้เหรอว่าวันนี้แลปงด เพราะเมื่อเช้ามีนักศึกษาในเซค รถคว่ำตาย เพื่อนเลยไปงานศพช่วงค่ำกันหมด สอบถามชื่อได้ความว่าคือพาร์ทเนอร์แลปของเธอนั่นเอง! ส่วนคนที่เจอในห้องแลปทุกคนล้วนแต่ไร้ชีวิต

6. หอผู้ป่วย ห้องพิเศษ

เรื่องนี้เกิดขึ้นในหอผู้ป่วยใน ห้องพิเศษ มีนศ.ชายมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ซึ่งรักษาอยู่ในโรงพยาบาล คณะแพทย์ศาสตร์ ม.เชียงใหม่ คุยกันจนเพลิน นึกขึ้นได้ว่าดึกมากแล้ว จึงขอลากลับ ซึ่งเวลา 4 ทุ่มของวอร์ดนี้ โดยเฉพาะแผนกห้องพิเศษ ช่างเงียบสงัดนัก นศ. คิดว่า เขาไม่เคยเจอบรรยากาศแบบนี้มาก่อน…

เขาเดินผ่านห้องผู้ป่วยอื่นมาเรื่อยๆ เพื่อเดินไปขึ้นลิฟท์ซึ่งอยู่ที่สุดทางเดินอันยาวนี้ พยาบาลที่เคาท์เตอร์ก็ไม่อยู่ เนื่องจากต้องไปดูแลผู้ป่วยห้องต่างๆ เขาเดินไปได้กลางทาง ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง ใส่ชุดสีกากี ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ส่งเอกสารทั่วๆ ไป เดินเข้ามาในวอร์ดผ่านประตูซึ่งเปิดอยู่ พยาบาลคงเรียกเขามาเอา specimen ไปส่งห้อง LAB กระมัง (นศ. คิดในใจ)

ทันใดนั้นเองนศ.ชาย ขนลุกซู่ โดยไม่รู้ตัว ชายคนดังกล่าวที่กำลังเดินใกล้เข้ามานั้น ไหล่และมือของเขานิ่งมาก ไม่มีการขยับหรือแกว่ง ตามจังหวะการเดินเลย เหมือนว่าเขาไม่ได้เดินมา! เขาเหมือนลอยเข้ามามากกว่า ในใจของ นศ.ชาย รู้สึกถึงความกลัวที่สุดในชีวิต แต่เขาก็ยังเดินต่อไปข้างหน้า ขณะที่ชายเสื้อสีกากีดังกล่าวก็ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในจังหวะที่ทั้งสองสวนผ่านกันนั้น (ห่างกันไม่ถึง 2 เมตร) นศ.ชาย สังเกตเห็นว่าชายคนนั้นลอยอยู่จริงๆ! ปลายนิ้วเท้าสองข้างของเขา ชี้ลงไปที่พื้น หน้าก้มต่ำ ผมเขายาวเล็กน้อยปิดบังหน้าตาไว้ นศ.ชาย ถึงกับขนลุกเกรียวทั้งตัว และสัมผัสได้ถึงความเย็น

หลังจากเดินผ่านชายเสื้อกากีมาแล้ว นศ.ชาย ก็หันกลับไปมองชายคนนั้น ซึ่งเขาเองก็เหมือนจะรู้ตัว ชายคนดังกล่าวหยุดอยู่นิ่ง แล้วค่อยๆ หันหน้าซึ่งมีผมเผ้ารุงรัง ผิวสีเทาๆ มองหันกลับมามายัง นศ.ชาย แล้ว ยิ้ม แหยะๆ ให้ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว นศ. รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากวอร์ด แล้วไม่หันหลังกลับไปดูอีกเลย

อ่านภาคแรกกันได้ที่นี่เลย >> เรื่องเล่าผี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ภาค1)

—————————-

ที่มา :  http://www.manager.co.th/

บทความแนะนำ