สถาปนิก สถาปัตย์ เด็กเก่ง เทคนิคการเรียน

จอม เอกพนิฏฐ์ จากเด็กเรียนไม่เก่ง บ้านไม่รวย สู่การเป็นสถาปนิกที่อเมริกา

Home / ดาวเด่นมหาวิทยาลัย / จอม เอกพนิฏฐ์ จากเด็กเรียนไม่เก่ง บ้านไม่รวย สู่การเป็นสถาปนิกที่อเมริกา

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวแคมปัส-สตาร์ วันนี้คอลัมน์ ดาวเด่น เรามีเรื่องราวดีๆ สร้างแรงบันดาลใจให้น้องๆ ที่อาจจะกำลังรู้สึกว่า รู้สึกท้อ รู้สึกว่าทำไมช่างยากเย็นเหลือเกิน ทำไมนะ ฉันถึงเรียนไม่เก่งเหมือนคนอื่นๆ เขาบ้าง?! ลองมาอ่านเรื่องราวประสบการณ์จริงของคุณ จอม เอกพนิฏฐ์ ศิษย์เก่าสถาปัตย์จุฬาฯ ต่อไปนี้ค่ะ เธอเป็นอีกหนึ่งคนที่เรียนไม่เก่ง และที่บ้านเธอก็ไม่ได้มีฐานะที่จะส่งเธอไปเรียนไหนก็ได้ อะไรคือแรงผลักดัน อะไรที่ทำให้เธอได้ทำงานเป็นสถาปนิกอยู่ที่บริษัทแนวหน้าระดับโลกที่อเมริกาได้ ไปอ่านเรื่องราวของเธอพร้อมๆ กันเลยค่ะ

จอม เอกพนิฏฐ์ สู่การเป็นสถาปนิกที่อเมริกา

สวัสดีค่ะ ชื่อ จอม เอกพนิฏฐ์ นาคนคร เรียนจบสถาปัตย์จากจุฬาฯ ตอนนี้ทำงานเป็นภูมิสถาปนิก (Landscape Architect) ที่อเมริกา เคยทำงานมา 3 ที่ 3 เมือง คือ Salt Lake City, Boston และ ตอนนี้มาอยู่ Denver ค่ะ มีหลายคนมาถามว่าทำไมถึงมาได้ทำงานต่างประเทศ เลยคิดว่าอยากจะลองเขียนเล่าเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ค่ะ อาจจะยาวหน่อยแต่ก็อยากแบ่งปันให้ทุกคน ได้อ่านกันจ้า

จอม เอกพนิฏฐ์ จากเด็กเรียนไม่เก่ง บ้านไม่รวย สู่การเป็นสถาปนิกที่อเมริกา

ภูมิสถาปนิก(Landscape Architect) คืออะไร?

หลายคนรู้จักสถาปนิก(Architect) แต่พอถามว่า…แล้วภูมิสถาปนิก(Landscape Architect) คือใคร? งานสายนี้มีทั้ง ออกแบบสวนสาธารณะ พลาซ่า พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ สวนสนุก หมู่บ้าน มหาลัย และ รีสอร์ท ไม่ใช่เพียงแค่ “สวน” อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ ง่ายๆ คือ สถาปนิกออกแบบตัวอาคาร ส่วนภูมิสถาปนิกออกแบบวางผังจัดการการใช้งานพื้นที่ ที่จะวางอาคารต่างๆ ลงไปค่ะ 

อยู่ที่ไทยดีๆ…แล้ว ไปทำงานที่อเมริกาได้ยังไง ?

ก่อนอื่นต้องบอกว่า จอมเนี่ยจัดว่าอยู่ในแทบจะ Worst Case Scenario คือ เรียนไม่เก่ง บ้านไม่มีตังค์ส่งไปไหน เรื่องดวงนี่ไม่ต้องพูดอะไร พึ่งกันไม่ค่อยได้ ที่มีอย่างเดียวจริงๆ คือ ใจ….!

แรงผลักดันที่ 1 .. “PASSION”

จอมเนี่ย เด็กๆ ชอบวาดรูปเล่น พอจะเข้า ม.1 แม่พาไปดูบ้านเพื่อนที่สวย น่าสนใจ เลยเกิดความสงสัย เลยถามแม่ว่า คนเค้าทำอาชีพอะไรที่เป็นคนทำงานพวกนี้ ตั้งแต่นั้นมาเลยรู้ว่าตัวจอมเองอยากเป็นสถาปนิก อยากเข้าคณะสถาปัตย์ ช่วง3ปีในม.ปลาย เลย ตั้งใจอ่านหนังสือ อัดมันไปเลย ตื่นมาอ่านหนังสือตอนเช้า ทุกเช้า เรียนพิเศษอีก เสาร์ อาทิตย์ก็ไม่เว้น อัดความรู้ทุกอย่าง แล้วคิดอยู่ตลอดเสมอว่า ถ้าไม่ได้สถาปัตย์ ไม่เรียนอ่ะ

จนกระทั่ง ผลเอ็นออก เราติด สถาปัตย์ จุฬา เห้ยยยยยยย เราทำได้ คิดว่านี่แหละเราสำเร็จแล้ว เอ่อ..ที่จริงคือ…มันเพิ่งเริ่มต้นฮะ….
พอเข้ามาปุ๊ป เริ่มเรียนปีแรกเท่านั้นแหละ Shock พบว่า รักมันยังไม่พอ เพราะเริ่มปีแรก ได้คะแนนห่วยแตก แบบเราว่าเราโอเค เราสนุกกะมันตอนทำ พอส่งไปถึงมืออาจารย์ทำไมเกรดห่วย ห่วย ห่วยจังวะ ไม่เข้าใจ คือ… ทำให้เราได้พบความจริงว่า “แค่รักมันยังไม่พอ”จริงๆแหะ ฉันต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า กว่าจะออกมาได้ผลดีเท่าเขา

ไม่นับว่าญาติๆ ที่บ้านลงเสียงโหวตกัน ชวนให้จอมลาออก ย้ายไปเรียนคณะอื่นแทนที่ไม่เกี่ยวกับออกแบบหรือศิลปะเลย เพราะนอกจากเหนื่อยแล้วดูจะไม่น่ารุ่ง สรุปผลโหวตแรงมาก แต่ทำอะไรจอมไม่ได้ เพราะถือว่าเราน่ะ..เป็นผู้นำในชีวิตของเราเอง ถ้าไปเรียนอะไรที่ไม่อยากเรียนเลยสักนิด ไปเรียนก็ทุกข์ทรมาน จอมเลยบอกตัวเองว่า “เอาวะ นี่คือ สิ่งที่ฝัน เราต้องทำมันให้ได้ในแบบของเราล่ะวะ” จอมเลยเริ่มตั้งแต่ ไปฝึกงานเอง แบบไม่เอาเงินเดือนนะ ไปเอาประสบการณ์ เพื่อจะได้เก่งขึ้น อ่านหนังสือดูงานออกแบบเยอะๆ ว่าเค้าคิดยังไง ทำไมออกแบบแบบนี้อะไรงิ สักพักมันก็เริ่มเห็นผล ค่อยๆเริ่มทำได้ดีขึ้น แต่อย่าถามนะว่าทุ่มแรงไปเท่าไหร่ คือ น่าจะเยอะไง.. เพราะตาดำเป็นแพนด้าโดยถาวรแล้วตั้งแต่ตอนนั้น

(รูปโปรเจคตอนปีสาม ออกแบบ Housing หมู่บ้านริมทะเล)

รูปโปรเจคตอนปีสาม ออกแบบ Housing หมู่บ้านริมทะเล

แรงผลักดันที่ 2 .. “RESPONSIBILITY”

คือ ที่บ้านมีปัญหาเรื่องเงินมาก แม่จอมทำงานคนเดียว พอ จอมเริ่มเข้าปี 2 แม่จอม (early retire) จากงานที่ทำ จอมเลยจำเป็นที่จะต้องหาเงินเลี้ยงที่บ้านด้วย โดยจอมเริ่มแบ่งเวลามารับงานนอกด้วย เอาที่ได้ตังค์ มากน้อยก็เอาหมด เพราะเอามาช่วยค่าใช้จ่ายในบ้าน พร้อมกับหาประสบการณ์ พัฒนาสกิลไปด้วย คือ จะพูดให้ดีว่า อยากทำเยอะๆ จะได้เก่งขึ้นอย่างเดียวก็ฟังดูนางงามจัง คือ…ป่าวเลยยยยยยย เรื่องมีความ “อยากเก่ง” น่ะเรื่องนึง แต่ที่ใหญ่กว่า คือ “ปากท้อง” นะจ๊ะ คือเก่งแล้วเกรดดี ยังกินไม่ได้ไง ไม่ทำให้ที่บ้านสบาย จอมมีกันกะแม่อยู่สองคน เราต้องเริ่มดูแลแม่ให้ได้ละ เพราะแม่เราเลิกทำงานแล้วตอนนั้น จอมเลยทำงานนอกเพิ่มเพื่อเหตุผลนี้ด้วย

อ่ะ สรุปแล้วความเทพยังไม่มี แล้วทุน พ.ก (พ่อกรู) หรือ ม.ก. (แม่กรู) จากที่บ้านก็ไม่มีจะให้….แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ได้ไปทำงานเมืองนอก? ความอยากไง! ความอยากล้วนๆ อยากเก่ง อยากทำงานออกแบบสนุกๆ อยากทำงานที่ชอบ อยากเลี้ยงแม่ได้ แต่พอจอมอยากปุ๊ป จอมก็เริ่มคิดว่าต้องทำยังไงจะได้มันมา เอ้า! เลยบอกตัวเองว่า มาลองกันสักตั้ง มันอาจจะเป็นไปได้ เราเริ่มจากการเอาความไม่เก่งให้มันหายไปก่อน เอาทีละเรื่อง เก่งแล้วงานดี เงินดีมันก็คงมาแหละ อดทนเว้ยเฮ้ย!! ตามนั้น…

จอม เอกพนิฏฐ์ จากเด็กเรียนไม่เก่ง บ้านไม่รวย สู่การเป็นสถาปนิกที่อเมริกา

CLEAR GOAL เป้าหมายชัดเจน ต่อมาความอยากใหญ่สุดคือ.. อยากไปทำงาน Landscape Architecture ที่ อเมริกา!!

คือมันเกิดมาจากว่า ตอนที่กำลังเรียนสถาปัตย์ จอมต้องไปหา case study จากประเทศที่งานมันดีๆ สวยเก๋ ดัง ๆ แล้วก็ดั๊นนนนน งานแบบที่ชอบส่วนใหญ่มันมาจากอเมริกา เพราะประเทศนี้ทำงานสาธารณะเยอะมาก (เมืองไทยสมัยนั้นไม่มีเลย) และทำออกมาเจ๋งๆ ทั้งนั้น และที่นี่แหละที่ให้กำเนิดวิชาชีพที่เรียกว่า “ภูมิสถาปัตยกรรม” แต่จอมไม่ได้อยากแค่นั่งดูงานเค้า “เฮ้ย… เราอยากไปทำกับเค้าเลย อยากสร้างงานต้นแบบเจ๋งๆ ด้วยเลยไม่อยากตามดูงานแกแล้ว!!!” แค่นั้นแหละ ความฝันของจอมเลยก่อตัวเป็นภาพที่ชัดเจนมากว่า อยากทำงานออกแบบที่รัก กับคนเก่งๆ ในอเมริกา ที่จุดประกายให้นักออกแบบคนอี่นต่อ ! อยากเป็นคนสร้าง ไม่อยากเป็นคน”ตาม”!!!


Landscape Architecture ใน New York

(Landscape Architecture ใน New York ที่ชอบ อันนี้คือ High Line ออกแบบโดย Field Operation)

ฝึกวิชาสร้างงานดีๆ

คือ สายนี้เนี่ย จะได้งานดีไม่ดี มันอยู่ที่เราสร้างพอร์ตฟอลิโอ หรือผลงานมาดีแค่ไหน เราเลยต้องขยันไง จอมเลยเริ่มจากฝึกงานช่วงปิดเทอม จากในไทย ตอน ปี 2 และ ไปสิงคโปร์ตอน ปี 3-4 แต่กว่าจะได้ไปทำแต่ละที่ก็ต้องเตรียมตัว สมัครงาน

ฝึกงาน ตอนปี 2 นี่คือครั้งแรกที่ไปฝึกก่อนคนอื่น

ตอนปี 2 ฝึกงานตอนปิดเทอมประมาณ 2 เดือน นี่คือครั้งแรกที่ไปฝึกก่อนชาวบ้าน ฝีกงาน จ-ศ เลย ที่ไปฝึกได้ก็ต้องขอบคุณอาจารย์ ตอนนั้นอยากไปฝึกเลยเดินไปหาอาจารย์เลยว่า พอจะมีที่ไหนอาจารย์จะแนะนำไปได้ไหม เพราะเราก็ประสบการณ์น้อยเนอะ ไม่มีอะไรเลย ไม่เอาตังก็ได้ แต่อยากเรียนมาก จะมีที่ไหนให้โอกาสไหม อาจารย์ก็แนะนำไปที่ L49 ค่ะ คือการฝึกงานนี่ได้อะไรเยอะมาก เพราะเป็นสิ่งที่ไม่รู้เลยตอนอยู่คณะ

ฝึกงาน ตอนปี 3 มีพอร์ตฟอลิโอจริงจัง Adventure ครั้งแรก

ตอนปี 3 จะปิดเทอมละ ฝึกอีกๆๆ คราวนี้เนี่ย ส่งไปสมัครที่สิงคโปร์ เริ่มต้นที่ว่า มีรุ่นพี่จอมที่คณะทำงานที่บริษัทนั้นแล้วกลับมาเยี่ยมคณะ เลยทำให้รู้ว่า เฮ้ยยย มีคนไปสิงคโปร์เยอะด้วยอ่ะ เราจะไปได้ไหมนะ เลยลองคุยกับพี่เค้า แล้วพี่เค้าเลยบอกให้ลองส่งเอกสาร ส่งพอร์ตฟอลิโอมาที่ออฟฟิสดู นั่น…..เลยเป็นครั้งแรกที่มีพอร์ตฟอลิโอจริงจัง!! แล้วเค้าก็ยินดีรับ ให้เราไปทำตอนช่วงปิดเทอมหน้าร้อน มีนา – พ.ค นั่นคือ Adventure ครั้งแรก เลย กรี๊ดกับตัวเองในใจ ว่าปกติไม่เคยได้เที่ยวไหน จะไปต่างจังหวัดนี่ยังไม่ได้เลย เพราะไม่มีงบ แต่นี่จะไปทำงานต่างประเทศ!! และได้ตังค์ค่าทำงานด้วย

o6vm4scnmMF0tXKDM4u-o

แต่ตายละหว่า…..เอาตังจากไหนไปละเนี่ย… พอญาติๆ รู้ก็ได้เงินสมทบทุนจากคุณตาและน้ามาประมาณ… 15,000 บาท เท่าไหร่หนูก็เอาค่าาาา แต่ว่า…ก็ยังไม่พอ เพราะต้องมีค่ากินอยู่ก่อนได้เงินเดือนอีก!! ตอนนั้นเลยยิ่งถาโถมรับงานนอก ไม่มีปฏิเสธ เท่านั้นไม่พอ ยังเริ่มหาทางอื่นอีก โดยการ..เอ๊ะ ตอนนั้น F4 ดังนิ..เออ เลยเริ่มทำการขายของค่ะ..

ขายของเกี่ยวกะ F4 ขายกระจายยยย เรียกได้ว่า กลางวันเรียน เย็นทำงานโปรเจค เรียนสลับกับจัดการเรื่องขายของ และหลังเที่ยงคืนเริ่มลุยพวกงาน Freelance สุดท้ายยยยย ในเวลาสามเดือน หาเงินมาพอค่าตั๋วเครื่องบินไปสิงคโปร์ และพออยู่ได้เดือนแรกนิดหน่อย โห ชีวิตเส้นยาแดงผ่าแปดอ่ะ หวิดมาก

พอหมดฝึกงาน ก็บินกลับมาเรียนต่อ คราวนี้ก็ทำให้ได้วิธีคิด วิธีทำงานแบบคนทำงานจริงมาใช้ประกอบการทำโปรเจคที่คณะมากกว่าเดิมอีก! ยิ่งที่สิงคโปร์มีตัวอย่างงานดีดีเยอะ เดินไปก็เจอ ทำให้พอกลับมารอบนั้น ผลการเรียน และคุณภาพงานออกแบบที่ทำออกมาดีมากกว่าเดิม กราฟการเรียนเราค่อยๆเริ่มขึ้นแล้ว….เฮ้ยยย มันเวิร์คว่ะ

งานที่ทำให้ออฟฟิสที่ฝึกงาน ( Tierra Design )

งานที่ทำให้ออฟฟิสที่ฝึกงาน ( Tierra Design ) ตอนนั้น ออกแบบเองและเรนเดอร์ออกมาด้วยค่ะ เริ่มมาทาง Digital ขึ้น

ตอนปี 4 ใกล้เรียนจบ / ลองเริ่มสมัครงาน

ตอนปี 4 เราก็เริ่มใกล้เรียนจบเข้าทุกที (คณะนี้เรียน 5 ปีค่ะ) มานั่งนึกเออ เราชอบงานที่ไหนบ้าง เราอยากทำงานแบบพวกสวนสาธารณะใหญ่ๆ ซึ่งที่อเมริกามีเยอะ เอองั้นลองตอนนี้เลย ไม่งั้นจะลองตอนไหน เลยตัดสินใจว่า จะลองลุยอเมริกาที่ฝันมานาน ออสเตรเลียที่ก็ไม่ค่อยรู้จักแต่ก็พอรู้จักงานน่าสนใจ อ่ะจะว่าไปฮ่องกงนี่ก็ไม่ไกลงานก็ดีมีรุ่นจอมอยู่ด้วย น่าสนใจ เลยลองสมัครไปหมดนั่นเลยค่ะ

หาข้อมูลสมัครที่ไหน มาจาก 4 ที่ใหญ่ ๆ ดังนี้..

– ที่ที่รุ่นจอมแนะนำมา หรือ เคยมีคนไทยไปทำ อันนี้ช่วยได้มาก เพราะเค้าจะแนะต่อให้ว่านอกจากที่เค้าทำ จะมีที่ไหนอีก
– เคยผ่านตาในหนังสือ เลยลองไปหาข้อมูลในเวบ google
– Search Keyword ใหม่ๆ ด้วย Google : Keyword เป็น Summer Internship, Design, Architecture แล้วก็เปลี่ยนชื่อเมือง ชื่อ ประเทศไป
– เว็บขององค์กรหลักของสายอาชีพนี้ในแต่ละประเทศ เช่นที่ อเมริกาจะมี ASLA.ORG เราก็ไปไล่ดูว่ามีใครรับสมัครฝึกงานไหม หรือมีใครที่งานได้รางวัลปีที่ผ่านๆมา ก็เลือกบริษัทที่เราอยากลองแม้เค้ายังไม่เปิด และก็เลือกบริษัทที่เค้าเปิดรับเด็กฝึกงาน

o6vm8bcoi4wb76m8SBm-o

ปีนั้นส่งไปสมัครที่อเมริกา ออสเตรเลีย โดนปฏิเสธจากที่นั่นมาพร้อมหน้าพร้อมตา คือ ชินชากับการโดนเด้งมาก…. สมัครที่ฮ่องกง นั่นเค้ารับเราค่ะ แต่ว่าเค้าตอบมาช้ามาก ตอนนั้นไปเริ่มฝึกงานอยู่ที่สิงคโปร์เรียบร้อย (สรุปไปสิงคโปร์อีกรอบนั่นเอง) ก็เลยไม่ได้ไป ไปสิงคโปร์รอบนี้ จอมเลือกออฟฟิสใหม่ ทั้งที่จริงๆ สมัครที่เดิม เค้าก็ยินดี เราก็ชอบออฟฟิสเดิมนะ แต่อยากลองต่อไป คราวนี้เลยเลือกท่ายาก เลือกที่เป็นสถาปนิกล้วน เพราะงานจะอีกแนว ปีนั้นที่ฝึกงาน

วัฒนธรรมออฟฟิสต่างจากที่แรกที่สิงคโปร์มาก อันที่ไปตอนปี 3 เค้าใจดี เฮฮา และพาไปหาอะไรกินบ่อย แต่ออฟฟิสต่างราวฟ้ากะเหว ที่นี่จะไม่ค่อยยุ่งกัน แต่งานหนัก วันเสาร์เจ้านายยังโทรเข้ามือถือจอมให้เข้าไปช่วยเลย แต่เค้าให้เราไปเจอลูกค้าเอง ก็ถือว่าเค้าให้โอกาสเราเยอะมาก แต่ว่าจะไม่ค่อยมีอะไรสนุกๆ ไม่มีกิจกรรมกระชับมิตร อันนี้จริงๆก็เป็นเรื่องนอกเหนือจากงาน เอามาตัดสินอะไรมากไม่ได้ แต่ว่า….ความมันส์ที่สุดของการฝึกคราวนี้ คือ..คน!!

o6vmb5aptOplznhSe9J-o

ปีนั้นมีเด็กฝึกงานอีกคนเป็นเด็กสถาปัตย์มหาลัยสิงคโปร์ เจ๊คนนั้นนี่ ตอนแรกเจอเค้า เรานี่ดีใจมาก แบบว่าเราจะมีเพื่อนรุ่นเดียวกันเว้ยเฮ้ยยย แต่วันเดียวเท่านั้นแหละ ปรากฎว่า เจ๊แกมาเป็น “นักสืบ” ไม่ได้มาทำงานอย่างเดียว วันๆ นางจะเอาเวลามาเปิดไฟล์ที่คนอื่นทำ แล้วมานั่งดูว่า ทำอะไรไม่เรียบร้อย หรือเรากำลังจะเข้าไปทำงาน นางเปิดไฟล์งานเราแล้วขยับแก้ แล้วเซฟทับบ้าง..เริ่มป่วน

บางวันเธอทำงานที่เจ้านายเราสั่งเรา แต่นางทำในอีกแบบนึง แล้วไปให้เจ้านายดูบอกว่า นี่อันนี้ชั้นว่าดีกว่าจอมทำเยอะ… เออเว้ย… อันนี้เราว่าอะไรไม่ได้ เพราะเค้าตัดสินตามเนื้องาน ต่อให้นายไม่สั่ง แต่ถ้าเค้าทำดีกว่าเรา เค้าก็ได้หน้า เจ้านายก็ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง แต่นางเริ่มมาเจ้ากี้เจ้าการกับเราหนัก

และนางไม่ได้เป็นกับเราคนเดียว นางเป็นกับสถาปนิกใหม่แต่อายุการทำงานมาก เธอคนนี้เป็นคนสเปน อายุเป็นรุ่นน้าเราได้เลย นางเจอวางยาเยอะกว่าเราอีก สรุปปีนั้น นอกจากทำงาน ยังต้องไปรบกับคนอีกด้วย โชคดีที่ ได้เพื่อนสนิทมาเป็นคนสเปนผู้ร่วมชะตากรรม การฝีกงานเลยเป็นอะไรที่แบบว่า ขึ้นกับว่าไปที่ไหน และเจอใครจริงๆ ค่ะ

สิส พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับ น้ำ (Hydro-Science Park)

ทีสิส พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับ น้ำ (Hydro-Science Park)  อันนี้เป็นแบบขยาย ส่วนนิทรรศการกลางแจ้งแสดงการบำบัดน้ำ และ ทางเข้ากัยสวนสาธารณะเพื่อการพักผ่อน

พอเรียนจบ ก็ยังไม่ทันจะสมัครใหม่พอดีมีงานโครงการ “ฟี้นฟูพื้นที่อุทยานแห่งชาติภาคใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ” ที่ทำกับอาจารย์ที่จุฬาฯ (ศูนย์บริการวิชาการจุฬาฯ) และกรมป่าไม้ เป็นกึ่งออกแบบ และ วิจัยค่ะ โครงการนี้จะจ้างยาวประมาณปีนึง เลยพอดีกับที่ว่าทำที่นี่ไปก่อนแล้วค่อยสมัครงานอเมริกาก็ได้ และตัวชิ้นงานก็น่าสนใจมากมาก ไม่ได้มาบ่อยๆ ก็เลยรับงานนั้นทำโดยไม่ลังเล

ยืดเวลาสมัครงานอเมริกาต่อไปอีกหน่อย เพราะอยากสะสมงานดี ๆ เพิ่ม และงานนี้น่าจะทำให้ที่อเมริกาหรือที่อื่นที่สมัครสนใจเรามากขึ้นอีกตอนนั้นคิดว่า เริ่มมาละเว้ยๆ งานคูลๆ ระหว่างทำงานกับศูนย์บริการวิชาการที่คณะ ก็ยังรับงานฟรีแลนส์อยู่ เอาที่ดูน่าสนุก แล้วก็เริ่มทำพอร์ตฟอลิโอไปด้วย

ทำมันควบคู่งานประจำเลย วันละนิด เพราะงานประจำที่ทำมันก็ทำงานเลิกดึกนะ จนสุดท้ายผ่านไป 9 เดือน!! นี่มันใช้เวลาราวกับหญิงสาวที่อุ้มท้องจนคลอดลูก!!!! พอร์ตฟอลิโอเรา..ก็คลอดออกมาจนได้ ในที่สุด… ตอนนั้น ตากลายเป็น Super Panda ไม่สามารถเรียกคืนมาได้อีกโดยถาวร

จอม เอกพนิฏฐ์ จากเด็กเรียนไม่เก่ง บ้านไม่รวย สู่การเป็นสถาปนิกที่อเมริกา

งานสีนามิที่ทำกับศูนย์บริการวิชาการจุฬาฯ ที่คณะสถาปัตย์

พอทำเอกสารสมัครงานพร้อมพอร์ตฟอลิโอเสร็จ…ก็สมัครไปหลายบริษัทในเมืองนอกเลย ใช้วิธีเดิมที่ทำตอนเรียน รวมทั้งบริษัทที่เคยสมัครตอนฝึกงานปี 4 (Design Workshop, ที่ Salt Lake City, Utah) พอดีมีรุ่นพี่ของจอมที่เคารพคนหนึ่ง พี่เค้าย้ายไปทำงานที่อื่น และออฟฟิสที่พี่เค้าเคยทำอยากได้คนที่มีสกิลทำงานแบบรุ่นพี่คนนั้น พี่เค้าเลยลองแนะนำให้ส่งอีกที

แม้จะเคยโดนปฏิเสธมาแล้ว แต่ของที่มีวันนี้ อาจจะพอก็ได้ ก็เลยตัดสินใจ สมัครไปอีกครั้ง!! และ พอผ่านประมาณเดือนนึง บริษัท Design Workshop เค้าก็ส่งอีเมลมา ขอนัดสัมภาษน์ทางโทรศัพท์ บริษัทนี้ เค้ายังมี Record ด้วยว่าเราเคยสมัครมาก่อน เลยทำให้เรายิ่งดูมุ่งมั่นเข้าไปอีก ดีนะที่ไม่เลิกล้ม แต่ยังลุยต่อ!!!

ว่าแต่…ว่า….สัมภาษณ์งานเหรอ?? โห เตรียมตัวสิจ้ะ รออะไร?!! ก่อนสัมภาษณ์ก็ทำการบ้านเยอะมาก เพราะไม่รู้เค้าจะถามอะไร ที่ไปสิงคโปร์มาไม่เคยสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์นะ email ล้วน งานนี้เลยเริ่มตั้งแต่ไปนั่งอ่านเวบเค้าดูว่างานไหนที่เค้าทำแล้วเราชอบ โห -เตรียมสัมภาษน์นี่ก็เหนื่อยนะ นี่ก็ ภาษาอังกฤษด้วย ไม่ได้ใช้ทุกวันไง ก็ต้องเตรียมตัวจนแบบ “เป็นธรรมชาติ” ไม่เกร็งให้ได้

จอม เอกพนิฏฐ์ จากเด็กเรียนไม่เก่ง บ้านไม่รวย สู่การเป็นสถาปนิกที่อเมริกา

ตอนสัมภาษณ์เค้าโทรมาหาเรา มีคนในสาย สองคน เป็น ผู้จัดการสาขา กับแผนกบุคคล ที่เป็น landscape architect ด้วย เค้าก็ถามคำถามเยอะนะ เช่น เป้าหมายในชีวิต คืออะไร ทำไมอยากมาทำงานกับเค้า คือ ตอบได้สบายเพราะเรารู้ตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คือมันซึมซาบอยู่ในทุกอณูของสมองว่าทำไมอยากมา สักพักก็ถามว่า ชอบสถาปนิกคนไหนทำไม และชอบงานไหน.. ของออฟฟิสเค้า!!!

เฮ้ย ที่เก็งมามันออกเว้ยเฮ้ย!!!! (คือ จริงๆ ก็เก็งครอบจักรวาลน่ะฮ่ะ) ตอบได้สิฮ้าาาาา เลยรอดไป วันนั้นตอบได้ทุกข้อ เพราะทำการบ้านมาหนักมาก วางหูไปแบบไม่รู้ได้ไหม แต่ที่ตอบไปทำได้ดีที่สุด เต็มที่เท่านี้แหละ ไม่ได้ไม่เสียใจแล่ว เพราะเต็มที่แล้วจริงๆ

พอสัมภาษน์ผ่านไปเดือนกว่าๆ เค้าก็หายเงียบไปเลย….เลยคิดว่าคงไม่ได้มั๊ง เริ่มไปสมัครงานที่ใหม่แล้ว แต่เกิดอะไรเข้าฝันไม่รู้ ตื่นมาก็อยากไปเช็ค junk mail ไปเจออีเมล ชี่อว่า …. OFFER จาก design workshop… เดี๋ยวนะ โอ เอฟ เอฟ อี อาร์ ออฟเฟ่อ เอะ… ให้งาน เอ๊ะๆๆ ได้งานเหรอวะ?!!! โอ้วววววววววววว

ตอนนั้นทำไรไม่ถูก เพราะมันอยู่ใน junk mail กลัวแม้แต่ว่ากดไปแล้วอีเมลจะหาย คือ จิตหลุดไปชั่วขณะ!! สมองไม่ทำงาน เดินถอยหลังมาก้าวนึง สูดหายใจเข้า เอ้าเข้าไปกดดู คือ ในอีเมลเค้าบอกว่า เค้าอยากให้เรามาทำงานด้วยนะ โดยที่จะจ่ายให้ชั่วโมงละเท่านี้ๆ และมีสวัสดิการอะไรบ้าง แจกแจงมาละเอียดประมาณ 4-5 หน้าเลย เราก็รีบเลยสิฮะ ร่างอีเมล ตอบรับงานไม่ต้องคิดมากกันละ อยากไปมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะรอทำไม?!!!

บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า…บางทีโชคชะตามันแอบซ่อนอยู่ใน junk mail!! ถ้าไม่เช็คนี่…ชวดแล้ว!

โดดโลดเต้นดีใจ…ใกล้ถึงฝันแล้วววววววว….!!! จากนั้นก็ใช้เวลาอีก 3-4 เดือนไนการเตรียมเอกสาร วีซ่าทำงาน จนได้บินมาเริ่มงานที่อเมริกานี่แหละค่ะ ! -เรื่องเตรียมเอกสารวีซ่านี่ก็เยอะ…ค่ะ การเข้ามาทำงานในประเทศนี้ว่ายาก ยุ่งกับเอกสารนี่ เหนื่อยเช่นกันค่ะ ทำไมมันไม่มีอะไรง่ายเลยเนี่ย!!

ที่อยากจะเล่าให้น้องๆ ฟังคือ มันไม่มีอะไรที่เราจะได้มาง่ายๆ สิ่งที่สำคัญ คือ เราต้องรู้ว่าเราต้องการอะไร ทำอะไร และทำเพื่อใคร ถ้าเราตอบตัวเองได้ เราจะมีสิ่งเหล่านั้นให้เรายึดมั่น และพยุงพาเราไปถึงที่หมายได้ แต่มันไม่ได้สบาย มันต้องเสียเหงื่อกันบ้าง แต่ถ้าเป็นฝันที่มีคุณค่ากับเราจริงๆ เราจะยอมเหนื่อยให้มัน

จอม เอกพนิฏฐ์ จากเด็กเรียนไม่เก่ง บ้านไม่รวย สู่การเป็นสถาปนิกที่อเมริกา

ทีนี้จอมได้งานแล้ว แล้วมาอเมริกาเป็นยังไง ? บอกได้ว่ามันมากค่ะ มาติดตาม ดูกันต่อ ตอนที่ 2 ดีกว่าค่ะ ตอนว่า : แล้วทำงานสถาปัตย์ใน อเมริกา หน้าตาเป็นยังไง?

เผื่อใครมีคำถามว่าเรียนสถาปัตย์ ต้องวาดรูปเก่งไหม? อ่านอันนี้เลยยย https://dreamaction.co/architecture-school-and-beautiful-drawing-skills/

อยากรู้ว่าเรียนสถาปัตย์นอกจากเป็นสถาปนิกแล้วได้อะไร อ่านอันนี้เลย https://dreamaction.co/7-unknown-skills-from-architecture-school/

อันนี้สำหรับใครที่กำลังจะสมัครงานแล้วอยากจะปัดฝุ่น resume ตัวเอง อ่านอันนี้เลยยย https://dreamaction.co/resume-part1/

จอม เอกพนิฏฐ์ จากเด็กเรียนไม่เก่ง บ้านไม่รวย สู่การเป็นสถาปนิกที่อเมริกา

บทความจาก: http://pantip.com/topic/35134343

ติดตามอ่านบทความของจอมได้ที่

https://dreamaction.co/

https://www.facebook.com/godreamaction

https://www.facebook.com/jomjomdesign/

บทความแนะนำ